1 / 96

พื้นฐานโปรแกรมภาษาจาวา (Overview of Java Programming Language)

พื้นฐานโปรแกรมภาษาจาวา (Overview of Java Programming Language). Nerissa Onkhum. วัตถุประสงค์. แนะนำสัญลักษณ์และคำต่าง ๆ ที่ใช้ในภาษาจาวา แนะนำข้อมูลค่าคงที่และชนิดข้อมูลแบบพื้นฐานที่ใช้ในภาษาจาวา แนะนำการประกาศและคำสั่งกำหนดค่าตัวแปร แนะนำตัวดำเนินการประเภทต่าง ๆ

kim
Download Presentation

พื้นฐานโปรแกรมภาษาจาวา (Overview of Java Programming Language)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. พื้นฐานโปรแกรมภาษาจาวา(Overview of Java Programming Language) Nerissa Onkhum

  2. วัตถุประสงค์ • แนะนำสัญลักษณ์และคำต่าง ๆ ที่ใช้ในภาษาจาวา • แนะนำข้อมูลค่าคงที่และชนิดข้อมูลแบบพื้นฐานที่ใช้ในภาษาจาวา • แนะนำการประกาศและคำสั่งกำหนดค่าตัวแปร • แนะนำตัวดำเนินการประเภทต่าง ๆ • อธิบายการแปลงชนิดข้อมูล • แนะนำชนิดข้อมูลแบบอ้างอิง • แนะนำคำสั่งที่ใช้ในการรับข้อมูลและคำสั่งที่ใช้ในการแสดงผล

  3. ไวยากรณ์ภาษาจาวา (Java Syntax) • คำหรือข้อความที่สามารถเขียนในโปรแกรมภาษาจาวาจะต้องเป็นคำ หรือข้อความในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของประเภทต่างๆ เหล่านี้ • คอมเมนต์ (Comment) • Identifier • คีย์เวิร์ด (Keywords) • สัญลักษณ์แยกคำ (Separators) • ช่องว่าง (White space) • ข้อมูลค่าคงที่ (Literals)

  4. คอมเมนต์ (Comment) • คอมเมนต์คือข้อความที่แทรกอยู่ในโปรแกรม • คอมเมนต์เขียนไว้เพื่อ • อธิบายโปรแกรม • ให้ผู้อ่านเข้าใจโปรแกรมง่ายยิ่งขึ้น • ช่วยทำให้การแก้ไขและปรับปรุงโปรแกรมเป็นไปได้ง่ายขึ้น

  5. คอมเมนต์ (Comment) • คอมเมนต์ในภาษาจาวาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. คอมเมนต์แบบบรรทัดเดียว (One line comment) - ใช้เครื่องหมาย // - โดยข้อความที่อยู่หลังเครื่องหมายนี้ไปจนสุดบรรทัดนั้น จะกลายเป็นคอมเมนต์ เช่น // This is one line comment

  6. คอมเมนต์ (Comment) 2. คอมเมนต์แบบหลายบรรทัด (many line comment) - ใช้เครื่องหมาย /* ร่วมกับ */ - โดยใส่เครื่องหมาย /* ไว้หน้าข้อความที่ต้องการให้เป็น คอมเมนต์และใส่เครื่องหมาย /* ไว้หลังข้อความที่ต้องการให้เป็นคอมเมนต์ เช่น /*This is may line comment*/

  7. คอมเมนต์ (Comment) 3. คอมเมนต์สำหรับสร้างเอกสารประกอบโปรแกรม (documentation comment) - ใช้เครื่องหมาย /** ร่วมกับ */ - คอมเมนต์สำหรับข้อความที่ต้องการสร้างเป็นไฟล์เอกสารที่เป็นไฟล์ประเภท HTML

  8. ตัวอย่างโปรแกรม /* This program is to show how to write comments */ public class ShowComments { // Main method public static void main(String args[]) { /** This is a comment for documentation */ System.out.println("Document"); } }

  9. Identifier • identifier คือชื่อที่ตั้งขึ้นในภาษาจาวา ซึ่งอาจเป็นชื่อของคลาส ชื่อของตัวแปร ชื่อของเมธอด ชื่อของแพ็กเกจ หรือชื่อของอินเตอร์เฟส • identifier จะต้องเป็นไปตามกฎการตั้งชื่อดังนี้ • identifier จะต้องขึ้นต้นด้วยอักขระ A-Z, a-z, _ หรือ $ เท่านั้น • identifier ที่ประกอบไปด้วยตัวอักขระมากกว่าหนึ่งตัว ตัวอักขระหลังจากตัวแรกนั้นจะต้องเป็นตัวอักขระข้างต้น หรือเป็นตัวเลข 0 ถึง 9 เท่านั้น • identifier จะต้องไม่ตรงกับคีย์เวิร์ด และไม่ประกอบด้วยช่องว่าง

  10. Identifier • identifier ในภาษาจาวาเป็น case sensitive • case sensitive หมายถึง ตัวอักษรตัวใหญ่กับตัวอักษรเล็กถือว่าเป็นคนละตัวกัน เช่น • hello • Hello • hELLo

  11. ถูกต้อง MyVariable _MyVariable $x This_is_also_a_variable ไม่ถูกต้อง My Variable 9pns a+c Hello'World public ตัวอย่างของ Identifier

  12. หลักการตั้งชื่อที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปหลักการตั้งชื่อที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป • การตั้งชื่อของคลาส • จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่แล้วตามด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็กหรือตัวเลข โดยจะใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เฉพาะอักษรนำของแต่ละคำ ที่ตามมาในชื่อ • ควรเป็นคำนาม • ตัวอย่างเช่น • Sample • HelloWorld • Student • GraduateStudent

  13. หลักการตั้งชื่อที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปหลักการตั้งชื่อที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป • การตั้งชื่อของตัวแปร • จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก โดยจะใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ เฉพาะอักษรนำของแต่ละคำที่ตามมาในชื่อ • ควรเป็นคำนามหรือเป็นชื่อสั้นๆ • ตัวอย่างเช่น • x • i • name • id • gpa

  14. หลักการตั้งชื่อที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปหลักการตั้งชื่อที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป • การตั้งชื่อเมธอด • จะใช้หลักการเดียวกับการตั้งชื่อตัวแปร แต่ควรเป็นคำกริยา • ตัวอย่างเช่น getName, setName หรือ showDetails เป็นต้น • การตั้งชื่อค่าคงที่ • จะใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด และจะแยกคำโดยใช้เครื่องหมาย _ (underscore) • ควรเป็นคำนาม • ตัวอย่างเช่น MIN_GPA เป็นต้น

  15. คีย์เวิร์ด • คีย์เวิร์ดคือชื่อที่มีความหมายพิเศษในภาษาจาวา • คีย์เวิร์ดทุกตัวจะเป็นตัวอักษรตัวพิมพ์เล็ก • คีย์เวิร์ด goto และ const • เป็นคีย์เวิร์ดที่ไม่ได้ตรงกับคำสั่งใดในภาษาจาวา • คำว่า true และ false • ไม่ได้เป็นคีย์เวิร์ดในภาษาจาวา แต่จะเป็นข้อมูลค่าคงที่ชนิดตรรกะ • คำว่า null • ไม่ได้เป็นคีย์เวิร์ดในภาษาจาวา แต่จะเป็นข้อมูลค่าคงที่ของตัวแปรที่มีชนิดข้อมูลเป็นประเภทอ้างอิง

  16. คีย์เวิร์ดที่ใช้ในภาษาจาวาคีย์เวิร์ดที่ใช้ในภาษาจาวา

  17. สัญลักษณ์แยกคำ

  18. ช่องว่าง (white space) • โปรแกรมภาษาจาวาสามารถที่จะมีช่องว่างเพื่อที่แยกคำ ประโยค หรือคำสั่งต่าง ๆ ภายในโปรแกรมได้ • white spaceหมายถึงตัวอักษรที่ไม่มีรูปร่างหน้าตา เป็นตัวอักษรที่มองไม่เห็น • จาวาแบ่ง white space ออกเป็น 5 ชนิดได้แก่ • Space character คือ ช่องว่าง • Horizontal tab คือ ตัวอักษรแนวนอนแท็บ (\t) • Form feed คือตัวอักษรขึ้นหน้าใหม่ (\f) • Carriage return คือ ตัวอักษรเลื่อนเคอร์เซอร์ไปซ้ายสุด (\r) • linefeed หรือ newline คืออักษรขึ้นบรรทัดใหม่ (\n)

  19. ช่องว่าง (white space) • white spaceมีหน้าที่ช่วยแยกคำให้อ่านง่ายขึ้น • white spaceมีอยู่เป็นจำนวนเท่าไรระหว่างคำ จะไม่ส่งผลต่อการตีความของคอมไพเลอร์ • หลักการของ white spaceมีอยู่ 2 ข้อ คือ 1. ห้ามมี white space ระหว่างชื่อเมธอดและเครื่องหมายวงเล็บเปิด เช่น

  20. ช่องว่าง (white space) 2. ต้องใส่ white space ไว้หลัง reserved word เสมอ เช่น

  21. ข้อมูลค่าคงที่ (Literal) • ข้อมูลค่าคงที่ คือ คำที่ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักขระ ข้อความ หรือค่าทางตรรกะ • ข้อมูลค่าคงที่แบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้ • ตรรกะ (boolean) • ตัวอักขระ (character) • ตัวเลขจำนวนเต็ม (integral) • ตัวเลขทศนิยม (floating point) • ข้อความ (string)

  22. ชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน • ชนิดข้อมูลในภาษาจาวาแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ • ชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน (primitive data type) • ชนิดข้อมูลแบบอ้างอิง (reference data type) • ชนิดข้อมูลแบบพื้นฐานแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้ • ชนิดข้อมูลตรรกะ (Logical) คือชนิด boolean • ชนิดข้อมูลอักขระ (Textual) คือชนิด char • ชนิดข้อมูลตัวเลขจำนวนเต็ม (Integral) คือชนิด byte,short,int และ long • ชนิดข้อมูลตัวเลขทศนิยม (Floating point) คือชนิด floatและdouble

  23. ขนาดและช่วงค่าของชนิดข้อมูลแบบพื้นฐาน

  24. ข้อมูลชนิดตรรกะ (Logical) • ข้อมูลชนิดตรรกะ (boolean) มีข้อมูลค่าคงที่อยู่ 2 ค่าคือ • true และ false • ตัวอย่างเช่น คำสั่ง boolean flag = true; เป็นการกำหนดตัวแปรที่ชื่อว่า flag ให้มีชนิดข้อมูลเป็น boolean โดยกำหนดให้มีค่าเป็น true

  25. ข้อมูลชนิดตัวอักขระ (Character) • Char เป็นชนิดข้อมูลแบบตัวอักษร (Character) ซึ่งถูกเก็บอยู่ในรูปของมาตรฐาน Unicode มีขนาด 16 บิต • ใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่มีความยาวไม่เกิน 1 ตัวอักษรเท่านั้น • โดยการเขียน Character literals จะต้องครอบคลุมด้วยเครื่องหมาย ' ' (Single Quote) • โดยจะมีค่าตั้งแต่ '\u0000' ถึง '\uFFFF'

  26. ข้อมูลชนิดตัวอักขระ (Character) • ตัวอย่างเช่น คำสั่ง char letter = '\u0041'; เป็นการประกาศตัวแปรที่ชื่อว่า letter ให้เป็นข้อมูลชนิด char โดยมีค่าเป็น \u0041 ซึ่งมีค่าเท่ากับตัวอักษร A • ตัวอย่างเช่น คำสั่ง char letter = 'A'; เป็นการประกาศตัวแปรที่ชื่อว่า letter ให้เป็นข้อมูลชนิด char โดยมีค่าเป็นตัวอักษร A เช่นเดียวกับคำสั่งก่อนหน้านี้

  27. อักขระพิเศษที่นิยมใช้ทั่วไปอักขระพิเศษที่นิยมใช้ทั่วไป

  28. ข้อมูลชนิดตัวเลขจำนวนเต็มข้อมูลชนิดตัวเลขจำนวนเต็ม • มีชนิดข้อมูลพื้นฐาน 4 ชนิดคือ • byte,short,int,long • โดยทั่วไปข้อมูลชนิดตัวเลขจำนวนเต็มจะถูกกำหนดให้มีชนิดข้อมูลเป็น int • ข้อมูลค่าคงที่สามารถเขียนได้สามแบบดังนี้ • เลขฐานสิบคือการเขียนเลขจำนวนเต็มทั่วไป เช่น -121 และ 75362 เป็นต้น • เลขฐานแปดคือการเขียนเลขจำนวนเต็มที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 แล้วตามด้วยตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 7 อาทิเช่น 016 (มีค่าเท่ากับ 14 ในเลขฐานสิบ) • เลขฐานสิบหกคือการเขียนเลขจำนวนเต็มที่ขึ้นต้นด้วย 0x หรือ 0X แล้วตามด้วยตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 9 หรือตัวอักษร A ถึง F อาทิเช่น 0xA2 (มีค่าเท่ากับ 162 ในเลขฐานสิบ)

  29. ข้อมูลชนิดตัวเลขจำนวนเต็ม • ข้อมูลค่าคงที่ของเลขจำนวนเต็มที่เป็นชนิด long จะมีตัวอักษร l หรือ L ต่อท้าย เช่น • 2l หมายถึง เลขฐานสิบที่มีค่าเป็น 2 ซึ่งเป็นข้อมูลชนิด long • 077L หมายถึง เลขฐานแปดที่เป็นข้อมูลชนิด long • 0xBAACL หมายถึง เลขฐานสิบหกที่เป็นข้อมูลชนิด long

  30. ข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยม (floating point) • ข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยมจะเป็นเลขที่มีเครื่องหมายจุดทศนิยม เช่น • 3.14 หรือ 3.0 • มีชนิดข้อมูลพื้นฐาน 2 ชนิด คือ double และ float • โดยทั่วไปข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยมจะถูกกำหนดให้มีชนิดข้อมูลเป็น double • สามารถเขียนในรูปแบบของเลขยกกำลังสิบ (exponential form) ได้ โดยใช้ตัวอักษร E หรือ e ระบุจำนวนที่เป็นเลขยกกำลังสิบ เช่น • 6.02E23 หรือ 2e-7

  31. ข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยม • ข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยมที่มีชนิดข้อมูลเป็น float จะมีตัวอักษร F หรือ f ต่อท้าย เช่น • 2.718F หรือ 3.14f • ข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยมที่มีชนิดข้อมูลเป็น double จะมีตัวอักษร D หรือ d ต่อท้าย เช่น • 2.718D (โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องใส่ตัวอักษร D เพราะข้อมูลชนิดตัวเลขทศนิยมจะกำหนดให้เป็น double อยู่แล้ว)

  32. ตัวแปร (Variable) • ตัวแปรคือข้อมูลที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ในโปรแกรม โดยใช้คำสั่งกำหนดค่า • คำสั่งในการประกาศตัวแปรของภาษาจาวามีรูปแบบดังนี้ dataType [variableName]; • ตัวอย่างเช่น คำสั่ง int amount; double x,y; float price,wholeSalePrice;

  33. คำสั่งกำหนดค่า (Assignment Statement) • คำสั่งกำหนดค่าจะเป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปร • คำสั่งกำหนดค่า (assignment statement) ซึ่งมีรูปแบบดังนี้ variableName = expression; • ตัวอย่างเช่น x = 1; radius = 3.14; c = ‘a’; y = x+4*3; amount = 121+14;

  34. คำสั่งประกาศและกำหนดค่าตัวแปรคำสั่งประกาศและกำหนดค่าตัวแปร • เราสามารถที่จะประกาศและกำหนดค่าเริ่มต้นของตัวแปรภายในคำสั่งเดียวกัน โดยมีรูปแบบคำสั่งดังนี้ dataTypevariableName = expression • ตัวอย่างเช่น int amount = 123; float price = 12.0f; double x = 4.0, y = 2.5;

  35. ตัวอย่างโปรแกรม public class VariableAssignDemo { public static void main(String args[]) { intx,y; boolean b1; float z = 3.414f; /* The program will not be compiled successfully if a character f is missing */ double w; x = 5; y = 4; b1 = (x > y); w = x * 3.2; System.out.println("x = " + x + " y = " + y); System.out.println("b1 = " + b1); System.out.println("z = " + z + " w = " + w); } }

  36. ค่าคงที่ • การประกาศค่าคงที่ในภาษาจาวาทำได้โดยการใส่คีย์เวิร์ด final หน้าคำสั่งประกาศชื่อ โดยมีรูปแบบดังนี้ final dataType CONSTANT_NAME = expression; • ตัวอย่างเช่น คำสั่ง final int MINIMUM = 4; final double MIN_GPA = 2.00;

  37. ตัวอย่างโปรแกรม public class ConstantDemo { public static void main(String args[]) { final int MAXIMUM = 10; final double MIN_GPA; System.out.println("Maximum is " + MAXIMUM); MIN_GPA = 2.00; System.out.println("Minimum GPA is " + MIN_GPA); // MIN_GPA = 3.00; //illegal } }

  38. ขอบเขตของตัวแปรและค่าคงที่ขอบเขตของตัวแปรและค่าคงที่ • ตัวแปรและค่าคงที่ซึ่งประกาศขึ้นจะสามารถใช้งานภายในบล็อกคำสั่ง ({ }) ที่ประกาศเท่านั้น • ภาษาจาวาแบ่งตัวแปรและค่าคงที่เป็นสองประเภทคือ • ตัวแปรหรือค่าคงที่ที่เป็นคุณลักษณะของออปเจ็คหรือคุณลักษณะของคลาส • ตัวแปรหรือค่าคงที่ที่อยู่ในบล็อกของเมธอดที่เรียกว่าค่าคงที่ภายใน (local constant) หรือตัวแปรภายใน (local variable)

  39. ค่าเริ่มต้นอัตโนมัติของตัวแปรค่าเริ่มต้นอัตโนมัติของตัวแปร • ตัวแปรที่เป็นคุณลักษณะของออปเจ็คหรือคุณลักษณะของคลาสจะถูกกำหนดค่าเริ่มต้นให้โดยอัตโนมัติ

  40. ตัวอย่างโปรแกรม public class VariableScopeDemo { public inti; // object variable public void method1() { int j = 4; // local variable int k = 2; // another local variable } public void method2() { int j = 0; // local variable System.out.println(i); // calling an object variable i // System.out.println(k); // illegal } }

  41. ตัวดำเนินการ (Operator) • นิพจน์ภาษาจาวาอาจจะประกอบด้วยข้อมูลค่าคงที่ ตัวแปร หรือค่าคงที่ต่างๆ โดยจะมีตัวดำเนินการต่างๆไว้เพื่อคำนวณหาผลลัพธ์ที่เป็นชนิดข้อมูลต่างๆ • ตัวดำเนินการในภาษาจาวาแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ • ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operator) • ตัวดำเนินการแบบสัมพันธ์ (Relational Operator) • ตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ (Logical Operator) • ตัวดำเนินการแบบบิต (Bitwise Operator)

  42. ตัวดำเนินการ (Operator) • การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ • ตัวอย่างของการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ เช่น a + b * c • นิพจน์ (Expression) คือ การนำเอาโอเปอเรเตอร์และโอเปอแรนด์หลาย ๆ ตัว มารวมเข้าเป็นประโยคเดียวกัน ซึ่งจากด้านบน จะเรียก a + b * c ว่า “นิพจน์” • โอเปอเรเตอร์ (Operator) คือ ตัวดำเนินการ ซึ่งอาจเป็นการดำเนินการทางคณิตศาสตร์หรือทางตรรกศาสตร์ก็ได้ ซึ่งจากนิพจน์ด้านบน จะเรียก + และ * ว่า “โอเปอเรเตอร์” • โอเปอแรนด์ (Operand) คือ ตัวถูกดำเนินการ ซึ่งอาจเป็น literals, ตัวแปร หรือนิพจน์ก็ได้ ซึ่งจากนิพจน์ด้านบน จะเรียก a, b และ c ว่า “โอเปอแรนด์”

  43. ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์

  44. ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์แบบย่อ

  45. ตัวดำเนินการเพิ่มค่าและลดค่าตัวดำเนินการเพิ่มค่าและลดค่า • ตัวดำเนินการเพื่อบวกค่าทีละ 1 หรือลดค่าทีละ 1 • เครื่องหมาย ++ หรือ -- • ตัวอย่าง • x++ คือ x = x+1 • ++x คือ x = x+1 • x-- คือ x = x-1 • --x คือ x = x-1 • ถ้าวางเครื่องหมายไว้ข้างหน้า โปรแกรมจะคำนวณค่าก่อนแล้วจึงทำคำสั่ง • ถ้าวางเครื่องหมายไว้ข้างหลัง โปรแกรมจะคำนวณค่าหลังจากทำคำสั่ง

  46. ตัวดำเนินการเพิ่มค่าและลดค่าตัวดำเนินการเพิ่มค่าและลดค่า • x++ มีความหมายเหมือนกับ ++x คือ • เป็นการเพิ่มค่าของ x ขึ้น 1 • แต่เมื่อนำไปใช้ร่วมกับนิพจน์อื่น ๆ ลำดับการทำงานของ x++ และ ++x จะแตกต่างกัน y = x++; z = ++x; ลำดับการทำงานจะเป็น ดังนี้ y = x++ => 1. y = x จะเห็นว่าทั้ง x++ และ ++x ต่างก็ทำ x = x + 1 2. x = x + 1; เหมือนกัน แต่ลำดับการทำงานต่างกัน กล่าวคือ z = ++x => 1. x = x + 1; ++x จะทำการเพิ่มค่าของ x ขึ้น 1 ก่อนที่จะนำค่าของ x 2. z = x ไปใช้ในนิพจน์ แต่ x++ จะนำค่าของ x ไปใช้ในนิพจน์ก่อน แล้วค่อยเพิ่มค่าของ x ขึ้น 1

  47. ตัวอย่างโปรแกรม public class IncrementDemo { public static void main(String args[]) { int x; int y; x = 5; y = x++; System.out.println("x = "+x" y = "+y); y = ++x; System.out.println("x = "+x" y = "+y); } } x = 6 y = 5 x = 7 y = 7 ผลลัพธ์ที่ได้จากการรันโปรแกรม

  48. ตัวดำเนินการแบบสัมพันธ์ตัวดำเนินการแบบสัมพันธ์

  49. ตัวอย่างโปรแกรม public class BooleanDemo { public static void main(String args[]) { int x = 5; int y = 4; boolean b1; b1 = (x!=y); System.out.println("x not equal to y is "+b1); System.out.println("y less than 0 is "+(y<0)); } }

  50. ตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์

More Related