1 / 52

TCP/IP

TCP/IP. Tranmission Control Protocol /Internet Protocol. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ TCP/IP. TCP/IP ย่อมาจาก Tranmission Control Protocol / Internet Protocol

Download Presentation

TCP/IP

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. TCP/IP Tranmission Control Protocol /Internet Protocol

  2. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ TCP/IP TCP/IP ย่อมาจาก Tranmission Control Protocol / Internet Protocol โปรโตคอล TCP/IP เป็นชุดของโปรโตคอลที่มีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1960 โดยมีวัตถุประสงค์ให้สามารถสื่อสารจากต้นทางข้ามเน็ตเวิร์คไปยังปลายทางได้ และสามารถหาเส้นทางที่จะส่งข้อมูลไปได้เองโดยอัติโนมัติ ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจผ่านเน็ตเวิร์คที่มีปัญหา โปรโตคอลก็ยังคงหาเส้นทางส่งผ่านข้อมูลไปให้ถึงปลายทางจนได้ ในระยะเริ่มต้นโปรโตคอลนี้ใช้กันในวงการแคบๆ เฉพาะราชการและสถานศึกษาของอเมริกา จนในช่วงปี 90 จึงมีการนำมาใช้ในทางธุรกิจ และเป็นจุดเริ่มต้นของอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน

  3. การแบ่งชั้น(Layering) • TCP/IP เป็นชุดของโปรโตคอลที่ประกอบไปด้วยโปรโตคอลย่อยหลายตัว แต่ละตัวจะทำหน้าที่ในแต่ละชั้นหรือเลเยอร์ (layer) ซึ่งรับผิดชอบและแปลความหมายของข้อมูลในแต่ละระดับของการสื่อสาร • ในภาพรวม TCP/IP แบ่งออกเป็น 4 เลเยอร์ ดังนี้

  4. หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละเลเยอร์หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละเลเยอร์ 1. Link Layer ในเลเยอร์นี้จะเป็นดีไวซ์ไดรเวอร์ที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการแต่ละระบบทำหน้าที่รับผิดชอบในการรับส่งข้อมูลตั้งแต่ระดับกายภาพ สัญญาณไฟฟ้า จนถึงการแปลความจากระดับสัญญาณไฟฟ้าจนเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ โปรโตคอลระดับนี้ เช่น Ethernet และ SLIP (Serial Line Internet Protocol) 2. Network Layer รับผิดชอบในการรับ ส่ง ข้อมูลเน็ตเวิร์ค ส่งต่อข้อมูลไปจนถีงจุดหมายปลายทาง โปรโตคอลระดับนี้ ได้แก่ IP ICMP IGMP 3. Transport Layer รับผิดชอบในการรับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องหนึ่ง(Host)ไปยังอีกโฮสท์หนึ่ง และจะส่งข้อมูลขึ้นไปให้Application Layer นำไปใช้งานต่อ มีโปรโตคอลที่จัดอยู่ในเลเยอร์นี้คือ TCP และ UDP ซึ่งมีลักษณะในการรับส่งข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป 4. Application Layer เป็นเลเยอร์ที่เป็นแอพลิเคชั่นเรียกใช้โปรโตคอลระดับล่างๆลงไป เพื่อวัตถุประสงค์แตกต่างกัน

  5. หน้าที่ความรับผิดชอบแต่ละเลเยอร์ (ต่อ) SMTP (Simple Mail Transfer Protocol) ใช้รับส่งจดหมายอิเลคโทรนิคส์ ระหว่างโฮสต์ Telnet ใช้สำหรับการควบคุมเครื่องระยะไกล HTTP (Hypertext Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ใช้รับส่งข้อมูล เว็ฟเพจระหว่างบราวเซอร์กับเว็ฟ เซิร์ฟเวอร์ POP (Post Office Protocol) ใช้สำหรับดาวน์โหลดอีเมล์จากเมล์ เซิร์ฟเวอร์มาไว้ที่เครื่องเมล์ ไคลเอนด์ (PC) ของผู้ใช้

  6. IP : Internet Protocol IP เป็นโปรโตคอลที่ทำหน้าที่รับภาระในการนำข้อมูลไปส่งยังจุดหมายปลายทางไม่ว่าที่ใดๆในอินเตอร์เน็ต โปรโตคอลต่างๆใน TCP/IP Suit ทั้ง TCP ,UDP, ICMP ต่างก็อาศัยระบบนี้ทั้งสิ้น เนื่องจากตัวโปรโตคอล IP นี้มีกลไกที่ค่อนข้างฉลาดในการหาเส้นทาง ขนส่งข้อมูล รู้จักที่จะซอกแซกหาช่องทางไปยังจุดหมายทุกทางที่เป็นไปได้ โปรโตคอลอื่นที่อยู่เลเยอร์สูงขึ้นไปเลยไม่ต้องรับภาระปวดหัวในการหาวิธีส่งข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทางอีก ขอแค่เพียงเตรียมข้อมูลให้เสร็จสรรพแล้วส่งให้ IP ก็นอนใจได้ว่า IP จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหาทางไปให้ถึงจุดหมายให้จงได้

  7. ถึงแม้ว่า IP จะเป็นโปรโตคอลที่เชี่ยวชาญในการขนส่งข้อมูลไปได้ไกลๆ แต่ก็มีจุดด้อยคือ IP เป็นโปรโตคอลที่ Unreliable และ connectionless (เปรียบเสมือนเป็นระบบขนส่งที่ชำนาญรวดเร็วแต่ไม่รับประกันว่าข้อมูลจะถึงปลายทางหรือไม่) การที่ IP มีข้อด้อย 2 ประการนี้ ดังนั้น โปรโตคอลเลเยอร์อื่นที่ใช้ IP เป็นตัวส่งข้อมูลที่จำเป็นต้องหาหนทางในการลดข้อด้อยเหล่านี้ลงไป เพื่อให้การรับส่งข้อมูลมีเสถียรภาพและเชื่อถือได้ ซึ่งก็คือจะต้องมีกลไกในการรับประกันการรับส่งข้อมูลอีกชั้นนั่นเอง การส่งข้อมูลด้วย IP เปรียบเสมือนการส่งจดหมาย ทั่วไปที่เราจ่าหน้าซองเรียบร้อย ติดแสตมป์แล้วนำไปหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ โดยส่วนใหญ่แล้วบุรุษไปรษณีย์นี้ก็จะทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอคือ นำจดหมายไปที่บ้านเลขที่ตามจ่าหน้าซอง แล้วก็หย่อนลงไปในตู้รับจดหมายของผู้รับซึ่งจะเห็นว่า ด้วยการทำงานปกติจดหมายน่าจะถึงปลายทางเสมอ แต่โอกาสที่จะเกิดอุปสรรคทำให้จดหมายไม่ถึงปลายทางก็เป็นไปได้

  8. หมายเลข IP หรือบางทีเรียกว่าแอดเดรส IP นั้นถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิตใน 1 ชุดจะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆกัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละชุดด้วยจุดดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ตั้งแต่ 0 จนถึง 28-1 =255 เท่านั้นเช่น192.10.1.101 เป็นต้น ตัวเลข IP Address ชุดนี้จะเป็นสิ่งที่สำคัญคล้ายเบอร์โทรศัพท์ที่เรามีใช้อยู่และไม่ซ้ำกัน เพราะสามารถกำหนดให้เป็นตัวเลขรวมได้ทั้งสิ้นกว่า 4 พันล้านเลขหมาย แต่การกำหนดให้คอมพิวเตอร์มีเลขหมาย IP Address นี้ไม่ได้เริ่มต้นจาก 1 และนับขึ้นไปเรื่อยๆหากแต่จะมีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นหมายเลขของเครือข่าย (Network Number) ส่วนที่สองเรียกว่า หมายเลขของคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายนั้น(Host Number) เพราะเครือข่ายใดๆอาจจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออยู่ได้มากมาย ในเครือข่ายที่อยู่คนละระบบอาจมีหมายเลขโฮสต์ซ้ำกันก็ได้แต่เมื่อรวมกับหมายเลข Network แล้วจะได้เป็น IP Address ที่ไม่ซ้ำกันเลย

  9. การแบ่งคลาส (Class) ของ IP Address • มีการแบ่งจากคลาส A ถึงคลาส E เพื่อจะได้ทำการจัดสรร IP Addres ได้อย่างเหมาะสมกับขนาดของเน็ตเวิร์ก

  10. โครงสร้างของแอดเดรสที่ใช้ใน CLASS ต่างๆของเครือข่ายซึ่ง ทั้งหมดยาว 32 บิต มีการจัดคลาสแบ่งออกเป็น 5 ระดับ แต่ที่ใช้งานทั่วไปจะมีเพียง 3 ระดับ คือ Class A Class B ,Class C ซึ่งก็แบ่งตามขนาดความใหญ่ของเครือข่ายนั่นเอง ถ้าเครือข่ายใดมีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออยู่มาก ก็จะมีหมายเลขอยู่ใน Class A ถ้ามีจำนวนเครื่องต่อลดหลั่นกันลงมาก็จะอยู่ใน Class b และ Class C ตามลำดับ หมายเลข IP ของ Class A มีตัวเลขเป็น 0 และหมายเลขของเครือข่าย (Network Number) ขนาด 7บิต และ มีหมายเลขของเครื่องคอมพิวเตอร์(Host Number) ขนาด 24 บิต ทำให้ในหนึ่งเครือข่ายของ Class A สามารถเชื่อมต่ออยู่ในเครือข่ายได้ถึง 224= 16 ล้านเครื่อง เหมาะสำหรับองค์กร หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ใน Class A นี้จะมีหมายเลข เครือข่ายได้ 128 ตัว เท่านั้นทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าจะมีเครือข่ายยักษ์ใหญ่แบบนี้ได้เพียง 128 เครือข่ายเท่านั้น สำหรับ Class B จะมีหมายเลขเครือข่ายแบบ 14 บิต และหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 16 บิต(ส่วนอีก 2 บิตที่เหลือบังคับว่าต้องขึ้นต้นด้วย 102) ดังนั้นจึงสามารถมีจำนวนเครือข่ายที่อยู่ใน Class B ได้มากกว่า Class A คือมีได้ถึง 214 = 16000 เครือข่าย

  11. และก็สามารถมีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกันในเครือข่าย Class B แต่ละเครือข่ายได้ถึง 216 หรือ มากกว่า 65000 เครื่อง สุดท้าย คือ Class C ซึ่งมีหมายเลขเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 8 บิต และมีหมายเลขเครือข่ายแบบ 21 บิต ส่วนสามบิตแรกบังคับว่าต้องเป็น 1102 ดังนั้นใน แต่ละเครือข่าย Class C จะมีจำนวนเครื่องต่อเชื่อมได้เพียงไม่เกิน 254 เครื่องในแต่ละเครือข่าย(28= 256 เครือข่าย แต่หมายเลข 0 และ 255 จะไม่ถูกใช้งาน จึงเหลือเพียง 254) ดังนั้น วิธีการสังเกตได้ง่ายๆ ว่าเราเชื่อมต่ออยู่ที่เครือข่าย Class ใดก็สามารถดูได้จาก IP Address ในส่วนหน้า( ส่วน Network)โดย Class A จะมี Network address ตั้งแต่ 0 ถึง 127 (บิตแรกเป็น 0 เสมอ) Class B จะมี Network address ตั้งแต่ 128 ถึง 191 (เพราะขึ้นต้นด้วย102เท่านั้น) Class C จะมี Network address ตั้งแต่ 192 ถึง 223(เพราะขึ้นต้นด้วย1102เท่านั้น)

  12. ช่วงของ IP Address แต่ละคลาส

  13. เช่น ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในอินเตอร์เน็ตมีหมายเลข IP ดังนี้ 181.11.82.22 ตัวเลข 181.11 แสดงว่าเป็นเครือข่ายใน Class B ซึ่งหมายเลขเครือข่ายเต็มๆ จะใช้ 2 ส่วนแรกคือ 181.11 และมีหมายเลขคอมพิวเตอร์คือ 82.22 หรือถ้ามี IP Address เป็น 192.131.10.101 ทำให้ทราบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเชื่อมต่ออยู่ใน Class C มีหมายเลขเครือข่าย 3 ส่วนแรก คือ 192.131.10 และหมายเลขประจำเครื่องคือ 101เป็นต้น

  14. โครงสร้างของโปรโตคอลTCP/IPโครงสร้างของโปรโตคอลTCP/IP • TCP : (Tranmission Control Protocol) - อยู่ใน Transport Layer ทำหน้าที่จัดการและควบคุมการรับส่งข้อมูล และมีกลไกความคุมการ รับส่งข้อมูลให้มีความถูกต้อง และมีการสื่อสารอย่างเป็นกระบวนการ • UDP : (User Datagram Protocol) - อยู่ใน Transport Layer ทำหน้าที่จัดการและควบคุมการรับส่งข้อมูล แต่ไม่มีกลไกควบคุมการรับ ส่งข้อมูลให้มีเสถียรภาพและเชื่อถือได้

  15. โครงสร้างของโปรโตคอลTCP/IP (ต่อ) • IP : (Internet Protocol) - อยู่ใน Internetwork Layer เป็นโปรโตคอล หลักในการสื่อสารข้อมูล มีหน้าที่ค้นหาเส้นทางระว่างผู้รับและผู้ส่ง ใช้ IP Address ซึ่งมีลักษณะเป็นเลขสี่ชุด แต่ละชุดมีค่าตั้งแต่ 0-255 เช่น 172.17.3.12 ในการอ้างอิงโฮสต์ต่างๆ และกลไกการ Route เพื่อส่งต่อข้อมูลไปจนถึงจุดหมายปลายทาง • ICMP : (Internet Control Message Protocol) - อยู่ใน Internetwork Layer มีหน้าที่ส่งข่าวสารและแจ้งข้อผิดพลาดให้แก่ IP

  16. โครงสร้างของโปรโตคอลTCP/IP(ต่อ)โครงสร้างของโปรโตคอลTCP/IP(ต่อ) • IGMP : (Internet Group Management Protocol) อยู่ในเน็ตเวิร์กเลเยอร์ ทำหน้าที่ในการส่ง UDP ดาต้าแกรมไปยัง กลุ่มของโฮสต์ หรือ โฮสต์หลายๆตัวพร้อมกัน • ARP : (Address Resolution Protocol) - อยู่ใน Link Layer ทำหน้าที่เปลี่ยนระหว่าง IP แอดเดรส ให้เป็นแอดเดรสของ Network Interface เรียกว่า MAC Address ในการติดต่อระหว่างกัน MAC Address คือหมายเลขประจำของ Hardware Interface ซึ่งในโลกนี้จะไม่มี MAC Address ที่ซ้ำกัน มีลักษณะเป็นเลขฐาน 16 ยาว 6 ไบต์ เช่น 23:43:45:AF:3D:78 โดย 3 ไบต์แรกจะเป็นรหัสของผู้ผลิต และ 3 ไบต์หลังจะเป็นรหัสของผลิตภัณฑ์

  17. โครงสร้างของโปรโตคอล TCP/IP(ต่อ) • RARP : (Reverse ARP) - อยู่ในลิงค์เลเยอร์เช่นกัน แต่ทำหน้าที่กลับกันกับ ARP คือเปลี่ยนระหว่างแอดเดรสของ Network Interface ให้ เป็นแอดเดรสที่ใช้โดย IP Address

  18. เลเยอร์ของโปรโตคอลต่างๆในชุด TCP/IP

  19. IP Header IP Header เมื่อข้อมูลถูกส่งลงมาจากชั้น Transport Layer สู่ชั้นNetwork Layer กระบวนการ Encapsulate ของ IP Protocol จะทำหารเพิ่มส่วน Header ลงไป Header ของ IP datagram มีขนาด 20-32 ไบต์ มีส่วนประกอบต่างๆ ดังแสดงในรูป

  20. ตาราง IP Header

  21. IP Routing IP Routing เป็นกระบวนการค้นหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางโดยผ่านการส่งต่อข้อมูลไปจนกว่าจะถึงปลายทาง นับเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ IP เป็นโปรโตคอลที่สามารถส่งข้อมูลจากโฮสต์หนึ่งไปอีกโฮสต์หนึ่งได้แม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกล

  22. กระบวนการ Routing

  23. กลไกการทำงานของ ARP • การทำงานของ ARP เป็นเรื่องไม่ซับซ้อน มีเพียง 2 ขั้นตอนเท่านั้นคือ 1. เครื่องที่ต้องการสอบถาม MAC Address ส่ง ARP packet เรียกว่า ARP Request ซึ่งบรรจุ IP , MAC Address ของตนเอง และ IP Address ของเครื่องที่ต้องการทราบ MAC Address ส่วน MAC Address ปลายทางนั้น จะถูกกำหนดเป็น FF:FF:FF:FF:FF:FF ซึ่งเป็น Broardcast Address เพื่อให้ ARP packet ถูกส่งไปยังเครื่องทุกเครื่องที่อยู่ในเน็ตเวิร์คเดียวกัน

  24. กลไกการทำงานของ ARP

  25. การตอบกลับ

  26. การใช้งาน ICMP • 1. Query ใช้สอบถามสถานะระหว่างกัน ในรูปที่ 4.1 เป็นการส่ง Echo request เพื่อถามสถานะของปลายทาง ซึ่งโฮสปลายทางอยู่ในสถานะปกติ สามารถทำการสื่อสารได้จะส่ง Echo Reply กลับมา

  27. Error Report • Error Report ใช้รายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เช่น หากไม่สามารถส่งดาต้าแกรมไปถึงปลายทางได้ เราเตอร์จะส่ง ICMP Message Host Unreachable กลับมารายงานโฮสต้นทาง (รูปที่ 4.2)

  28. TCP/IP NETWORK • ปกติอินเตอร์เน็ตจะมีหมายเลขเครื่องทุกเครื่องเรียกว่า IP Address ในระบบเครือข่ายเดียวกันหมายเลขนี้จะไม่ซ้ำกันโดยศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตจะทำหน้าที่แจก IP Address มาให้ • การแจก IP Address ขององค์การใหญ่จะมี 3 คลาส คือ Class A , Class B, Class C

  29. รูปที่ 1 แสดงการแจกไอพีแอดเดรสเป็นคลาส การแจก IP ADRESS เป็น CLASS

  30. การแจกไอพีแอดเดรสแบบเดี่ยวการแจกไอพีแอดเดรสแบบเดี่ยว • รูปที่ 2 การแจกไอพีแอดเดรสแบบเดี่ยว

  31. รูปที่ 3 แสดงไอพีแอดเดรสในการเชื่อมต่อแบบลีสไลน์ • การกำหนดไอพีแอดเดรสของเราเตอร์ในการเชื่อมต่อแบบลีสไลน์ • ในการเชื่อมต่อแบบลีสไลน์นั้นศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตจะให้หมายเลขไอพีแอดเดรสมาสองชุดนะครับไม่ใช่ชุดเดียวคือ • ไอพีแอดเดรสของแลน (เป็นคลาส กำหนดที่เครื่องลูกข่าย) • ไอพีแอดเดรสของแวน (เป็นไอพีเดี่ยว กำหนดที่เราท์เตอร์)

  32. การกำหนดไอพีแอดเดรสของเครื่อง คอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย ไอพีแอดเดรสของเราท์เตอร์นั้นศูนย์บริการจะต้องเป็นผู้กำหนดมาให้ เราไม่สามารถกำหนดเองได้ แต่สำหรับไอพีแอดเดรสของเครื่องลูกข่ายนั้นเราสามารถกำหนดเองได้ ซึ่งมีการกำหนดอยู่สองวิธี

  33. ไอพีแอดเดรสจริง ไอพีแอดเดรสจริงคือไอพีแอดเดรสที่มีอยู่ในตารางเราติ้งเทเบิลของระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะถูกกำหนดให้เฉพาะแต่ละระบบเครือข่ายโดยที่ไม่ซ้ำเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ สามารถติดต่อถึงกันได้ การกำหนดให้เป็นไอพีแอดเดรสจริงนั้นมีขอสังเกตุที่ควรพิจารณาการใช้งานดังนี้ สะดวกในการใช้งานเนื่องจากไอพีแอดเดรสจริงสามารถติดต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง เป็นอันตรายต่อการบุกรุกเนื่องจากเชื่อมต่ออินเทอร์เนตโดยตรง ไอพีแอดเดรสจริงในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการแจกจ่าย

  34. ไอพีแอดเดรสสำรอง "ไอพีแอดเดรสสำรอง" บางคนจะเรียกว่า "ไอพีปลอม" ไอพีนี้ไม่ใช่ของปลอมสามารถใช้งานได้จริง โดยมาจากคำว่า "Private IP Address" บางท่านก็เรียกว่า ไอพีส่วนตัว .เนื่องจากไอพีแอดเดรสจริงไม่พอแจกจ่าย ศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตจึงมีวิธีหลีกเลี่ยงโดยการให้ผู้ที่เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตใช้หมายเลขไอพีสำรองแทนหมายเลขจริง

  35. ไอพีแอดเดรสสำรองก็คือไอพีแอดเดรสที่ไม่มีเราติ้งเทเบิลอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตไอพีแอดเดรสสำรองก็คือไอพีแอดเดรสที่ไม่มีเราติ้งเทเบิลอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต • รูปที่ 4 การใช้ไอพีแอดเดรสสำรอง • หมายเลขไอพีแอดเดรสสำรอง จะมีทั้งหมด 273 ชุดประกอบไปด้วยคลาส A 10.0.0.0 - 10.255.255.255 (1 ชุด)คลาส B 172.168.0.0 - 172.31.255.255 (16 ชุด)คลาส C 192.168.0.0 - 192.168.255.255 (256 ชุด)

  36. การติดตั้ง TCP/IP ขั้นต้น steb by steb

  37. ขั้นตอนที่ 1 สำรวจดูว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้ทำการติดตั้ง protocal TCP/IP ไว้แล้วรึยัง โดย เข้าไปที่ Start -> Settings -> Control Panal -> Network ถ้ายังไม่มี TCP/IP ก็ให้ click ที่ปุ่ม Add

  38. เลือก Protocal

  39. เลือก microsoft ทางด้านซ้าย แล้วเลือก TCP/IP ทางด้านขวา Click ปุ่ม OK

  40. เลือกแถบไปที่ TCP/IP แล้วกดปุ่ม Properties เพื่อตามค่าต่างๆ ข้างในตามนี้Gateway : 203.148.248.1

  41. ใส่ ค่าตามที่เห็นในรูปนี้Host : rangsitDomain : rsu.ac.thDNS Server Search : 203.148.248.2Add เพิ่มไปอีกตัวก็ได้นะ 203.148.248.3 Domain Suffix Search : rsu.ac.thเมื่อตั้งค่าได้ตามนี้แล้วก็ กดปุ่ม OK แล้วเครื่องของคุณจะทำการ Restart windows อีกครั้ง

  42. ขั้นตอนที่ 2ติดตั้ง Dial-up NetworkingStart -> Program -> Accessories -> Dial-up Networkingถ้าไม่มีแสดงว่าคุณไม่ได้ทำการติดตั้งลงโปรแกรมนี้จาก windows95ให้นำแผ่น windows 95 ใส่ไว้ที่เครื่อง แล้วไปทำการติดตั้งโปรแกรมตามนี้ Start -> Control Panel -> Add/Remove Programs -> Windows Setup -> Communications-> Details -> Click Checkbok Dial-up Networking แล้วเลือก OK แล้วก็ Ok เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Dial-up Networking พร้อมแล้ว ก็ไปเปิดไปที่โปรแกรม Dial-up Networking เลือก make new connection

  43. เลือก configure....

  44. แล้วเลือก Option ทำเครื่องหมายถูกที่ Bring up terminal window after dialing แล้วกด OK แล้ว Next ไปในขั้นตอนต่อไป

  45. กดปุ่มขวาของmouseบน icon เพื่อไปเลือก properties

  46. หลังจากเลือกที่ properties จะได้ตามรูปนี้ ให้กดไปที่ปุ่ม server type

  47. ในนี้จะใส่หรือว่าไม่ใส่โดยใช้ Server Assigned ก็ได้ แต่ว่าใช้ Server assign IP Address จะดีกว่า

More Related