310 likes | 682 Views
สำนักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน. ลุ่มน้ำเพชรบุรี ที่ตั้ง ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ลุ่มน้ำ ภูมิอากาศ ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน - ตารางเปรียบเทียบในกลุ่มลุ่มน้ำ ทรัพยากรดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน พื้นที่ทำการเกษตร. พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน การประเมินความต้องการน้ำ ปัญหาของลุ่มน้ำ
E N D
สำนักโครงการขนาดใหญ่ กรมชลประทาน ลุ่มน้ำเพชรบุรี • ที่ตั้ง • ลักษณะภูมิประเทศ • พื้นที่ลุ่มน้ำ • ภูมิอากาศ • ปริมาณน้ำท่า-น้ำฝน - ตารางเปรียบเทียบในกลุ่มลุ่มน้ำ • ทรัพยากรดิน • การใช้ประโยชน์ที่ดิน • พื้นที่ทำการเกษตร. • พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทาน • การประเมินความต้องการน้ำ • ปัญหาของลุ่มน้ำ • ด้านภัยแล้ง • แนวทางแก้ไข ส่วนอำนวยการและติดตามประเมินผล
19. ลุ่มน้ำเพชรบุรี ที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มน้ำเพชรบุรี อยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดราชบุรี ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ผืนผ้า วางตั้งในแนวตะวันตก - ตะวันออก โดยมีทิศเหนือติดกับแม่น้ำแม่กลอง ทิศใต้ติดกับลุ่มน้ำชายฝั่งทะเล - ตะวันตก ทิศตะวันตกติดกับประเทศพม่า ทิศตะวันตกติดกับอ่าวไทย (ตามรูปที่ 19.1) รูปที่ 19-1 แสดงที่ตั้ง ลุ่มน้ำเพชรบุรี
ลักษณะภูมิประเทศ ตามรูปที่ 19-2 ลักษณะภูมิประเทศของลุ่มน้ำนี้ พื้นที่ทางตะวันตกจะค่อย ๆ ลาดเทเข้ามาทางทิศตะวันออก และมีเทือกเขาเตี้ย ๆ ที่ทำให้เกิดที่ราบ ทางตะวันตกของลุ่มน้ำจะเป็นเทือกเขาสูง ซึ่งจะเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญ ทางตอนกลางของลุ่มน้ำเป็นที่ราบลุ่ม แม่น้ำเพชรบุรีจะไหลผ่านอ่างเก็บน้ำเขื่อนแกงกระจาน และเขื่อนเพชรบุรี พื้นที่ตอนล่างด้านตะวันออกของลุ่มน้ำ มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล รูปที่ 19-2 สภาพภูมิประเทศในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรี
พื้นที่ลุ่มน้ำ ลุ่มน้ำเพชรบุรี มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 5,603 ตารางกิโลเมตร แบ่งออกเป็น 3 ลุ่มน้ำย่อย ตามตารางที่ 19-1 และรูปที่ 19-3 แสดงลุ่มน้ำย่อย ตารางที่ 19-1 ขนาดของพื้นที่ลุ่มน้ำย่อย 19.04 19.03 19.02 รูปที่ 19-3 แสดงลุ่มน้ำย่อย พื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรี
ภูมิอากาศ ข้อมูลภูมิอากาศที่สำคัญของลุ่มน้ำนี้ได้แสดงไว้แล้ว ตามตารางที่ 19-2 ซึ่งแต่ละรายการเป็นค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และค่าเฉลี่ยเป็นรายปี ตารางที่ 19-2 แสดงข้อมูลภูมิอากาศที่สำคัญ
ปริมาณน้ำฝนลุ่มน้ำเพชรบุรีมีปริมาณฝนผันแปรตั้งแต่ 900 มิลลิเมตร จนถึง 1,400 มิลลิเมตร โดยมีปริมาณน้ำฝนทั้งปีเฉลี่ยประมาณ1,063.8 มิลลิเมตร ลักษณะการผันแปรของปริมาณน้ำฝนรายเดือนเฉลี่ยได้แสดงไว้แล้ว ตามตารางที่ 19-3 และมีลักษณะการกระจายของปริมาณน้ำฝนของแต่ละลุ่มน้ำย่อย ตามรูปที่ 19-4 ตารางที่ 19-3 ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ารายเดือนเฉลี่ย รูปที่ 19-5 ปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือนในแต่ละลุ่มน้ำย่อย รูปที่ 19-4 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือนในแต่ละลุ่มน้ำย่อย ปริมาณน้ำท่าลุ่มน้ำเพชรบุรีมีพื้นที่รับน้ำทั้งหมด 5,603 ตารางกิโลเมตร และปริมาณน้ำท่าตามธรรมชาติเฉลี่ย 1,384.7 ล้านุลูกบาศก์เมตร ตามตารางที่ 19-3 หรือมีปริมาณน้ำท่ารายปีเฉลี่ยต่อหน่วยพื้นที่รับน้ำฝน 7.84 ลิตร/วินาที่/ตารางกิโลเมตร ตามรูปที่ 11-5 แสดงปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยรายเดือนของแต่ละลุ่มน้ำย่อย
ตารางเปรียบเทียบ ปริมาณน้ำฝน - ปริมาณน้ำท่า
ทรัพยากรดิน พื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีสามารถจำแนกชนิดดินตามความเหมาะสมของการพืชออกได้ 4 ประเภท ซึ่งมีลักษณะการกระจายของกลุ่มดินตามรูปที่ 19-6 และแต่ละกลุ่มดินจะมีจำนวนพื้นที่ ตามตารางที่ 19-4 ตารางที่ 1--4 รูปที่ 19-6 การแบ่งกลุ่มดินจำแนกตามความเหมาะสมใช้ปลูกพืช
การใช้ประโยชน์จากที่ดินการใช้ประโยชน์จากที่ดิน 1) พื้นที่ทำการเกษตร.....................37.12 % พืชไร่.......................... 33.59 % ไม้ผล-ไม้ยืนต้น............ 14.46 % ข้าว............................ 50.99 % พืชผัก......................... 0.96 % รูปที่ 19-7 การทำเกษตร 2) ป่าไม้..................................... 52.24 % เขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า...... 0.08 % อุทยานแห่งชาติ................... 58.03 % พื้นที่ป่าอนุรักษ์..................... 41.89 % รูปที่ 19-8 พื้นที่ป่าไม้และเพื่อการอนุรักษ์ 3) ที่อยู่อาศัย......................... 1.51 % 4) แหล่งน้ำ.................................. 0.80 % 5) อื่นๆ.................................... 8.33 % รูปที่ 19-9 การใช้ประโยชน์จากที่ดิน
พื้นที่ทำการเกษตร ลุ่มน้ำเพชรบุรีมีพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 2,079.74 ตารางกิโลเมตร และมีพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชต่างๆ 1,409.59 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 67.78 พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกข้าว 1,060.52 ตารางกิโลเมตร (63.61%) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชผัก 4.16 ตารางกิโลเมตร ( 0.02%) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกพืชไร่ 698.55 ตารางกิโลเมตร (25.28%) พื้นที่เหมาะสมสำหรับปลูกไม้ผล-ไม้ยืนต้น 300.75 ตารางกิโลเมตร (11.11%) พื้นที่ที่มีความเหมาะสมกับการเพาะปลูก ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณ ฝั่งตะวันออกของพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มของแม่น้ำเพชรบุรีตอนล่าง ซึ่งรวมกันแล้วประมาณ ร้อยละ 25.16 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด ในการทำการเกษตร พบว่าการใช้พื้นที่ปลูกพืช ส่วนใหญ่การปลูกข้าวได้ปลูกบนพื้นที่ที่มีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว แต่การปลูกพืชไร่และไม้ผล-ไม้ยืนต้นบางส่วนยังปลูกบนพื้นที่ที่ไม่มีความเหมาะสม รูปที่ 19-10 การใช้ประโยชน์ที่ดินหลักด้านการเกษตร
พื้นที่ที่มีศักยภาพพัฒนาระบบชลประทานพื้นที่ที่มีศักยภาพการพัฒนาระบบชลประทานในพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรี ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของพื้นที่ลุ่มน้ำ โดยเฉพาะลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง โดยมีพื้นที่ ประมาณ 1,026.55 ตารางกิโลเมตร และคิดเป็นร้อยละ 72.83 ของพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก หรือร้อยละ 49.23 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด ตารางที่ 19-5 ตารางเปรียบเทียบพื้นที่การเกษตรกับพื้นที่ทีมีศักยภาพสำหรับการพัฒนาระบบชลประทาน
การประเมินความต้องการน้ำการประเมินความต้องการน้ำ จากการศึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคมได้คาดคะเนอัตราการเจริญเติบโตของประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองและนอกเขตเมือง รวมทั้งความต้องการน้ำสำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ช่วงปี 2544-2564 สรุปได้ตามรูปที่ 19-11 ชลประทาน ปริมาณน้ำ (ล้าน ลบ.ม.) รักษาระบบนิเวศ อุตสาหกรรม อุปโภค - บริโภค รูปที่ 19-11 สรุปแนวโน้มปริมาณความต้องการน้ำแต่ละประเภท
ปัญหาของลุ่มน้ำ • ด้านอุทกภัย สภาพการเกิดอุทกภัยในลุ่มน้ำนี้ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ∶- 1) อุทกภัยที่เกิดบริเวณพื้นทีลุ่มน้ำตอนบน เกิดจากการที่มีฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากจากต้นลงมามากจนลำน้ำสายหลักไม่สามารถระบายน้ำได้ทันประกอบกับมีสิ่งกีดขวางจากเส้นทางคมนาคมขวางทางน้ำ และมีอาคารระบายน้ำไม่เพียงพอ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ได้แก่ อำเภอเขาย้อย อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี 2) อุทกภัยที่เกิดบริเวณที่ราบลุ่ม เกิดบริเวณที่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม และแม่น้ำสายหลักตื้นเขิน มีความสามารถระบายน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ พื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ได้แก่ อำเภอชะอำ อำเภอท่ายาง อำเภอบ้านลาด และอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี
ด้านภัยแล้ง ปัญหาภัยแล้งในลุ่มน้ำนี้เกิดจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนาน ทำให้พื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทานเกิดความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภคและทำการเกษตร รวมถึงการใช้น้ำในกิจกรรมอื่น ๆ ตามข้อมูล กชช.2ค. ปี 2542 ในลุ่มน้ำเพชรบุรีมีจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 682 หมู่บ้าน พบว่า มีหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง จำนวน 482 หมู่บ้าน(ร้อยละ70.67) โดยแยกเป็นหมู่บ้านที่ขาดน้ำเพื่อการเกษตร 162 หมู่บ้าน (ร้อยละ 23.75 และหมู่บ้านที่ขาดแคลนทั้งน้ำเพื่อการอุปโภค-อุปโภคและการเกษตร 320 หมู่บ้าน (ร้อยละ 46.96) หมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรึถึง 442 หมู่บ้าน หรือคิดเป็นร้อยละ 91.70 ของหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งทั้งหมด หมู่บ้านที่มีน้ำอุปโภค-บริโภค แต่ขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร หมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร รูปที่ 19-12 แสดงลักษณะการกระจายตัวของหมู่บ้านที่ประสบปัญหาภัยแล้ง
แนวทางแก้ไข ปัญหาการเกิดอุทกภัย และภัยแล้งในลุ่มน้ำเพชรบุรี มีลักษณะคล้ายกับพื้นที่ลุ่มน้ำอื่นๆ คือการผันแปรของปริมาณน้ำฝน ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง ในทางกลับกันเมื่อมีฝนตกหนักก็ทำให้เกิดน้ำไหลหลากท่วมพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่การเกษตร การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงมีแนวทางแก้ไขในภาพรวมโดยสรุปดังนี้ 1) การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ในพื้นที่ตอนบนของแม่น้ำสาขาที่สำคัญ ได้แก่ห้วยน้ำผาก เพื่อเก็บกักปริมาณน้ำหลากในฤดูฝนและส่งน้ำให้กับพื้นที่ที่มีความต้องการน้ำในช่วงฤดูแล้งของลุ่มน้ำสาขานั้นๆ 2) การขุดลอกลำน้ำสายหลักในช่วงที่ตื้นเขินเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการระบายน้ำ 3) การขุดลำน้ำสายหลักในช่วงที่ตื้นเขิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ 4) เพิ่มประสิทธิภาพ หรือขีดความสามารถกระจายน้ำให้ทั่วถึง 5) ปรับปรุงประสิทธิภาพการระบายน้ำ 6) ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณเขตตั้งเมือง และพื้นที่โดยรอบมิให้ลุกล้ำแนวคลองและลำน้ำสาธารณะ 7) ก่อสร้างถังเก็บน้ำ สระเก็บน้ำ ประจำไร่นา ฯลฯ ในพื้นที่อยู่ห่างไกลจากแหล่งน้ำ / นอกเขตชลประทานตามความเหมาะสมของพื้นที่ _________________________