1 / 43

การจัดทำ TOR (Term of Reference)

การจัดทำ TOR (Term of Reference). Asst.Prof.Dr.Surasak Mungsing Iformation Science Institute of Sripatum University (ISIS). Term of Reference หรือ TOR. TOR ย่อมาจาก Term of Reference หมายถึงข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง ซึ่งจะเป็นรายละเอียดที่ผู้ว่าจ้างมีความประสงค์จะให้ผู้รับจ้างทำอะไรบ้าง โดย

Download Presentation

การจัดทำ TOR (Term of Reference)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การจัดทำ TOR (Term of Reference) • Asst.Prof.Dr.Surasak Mungsing • Iformation Science Institute of Sripatum University (ISIS)

  2. Term of Reference หรือ TOR TORย่อมาจาก Term of Reference หมายถึงข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง ซึ่งจะเป็นรายละเอียดที่ผู้ว่าจ้างมีความประสงค์จะให้ผู้รับจ้างทำอะไรบ้าง โดย • การบอกขอบเขตของงานให้ชัดเจน • ระยะเวลาที่ต้องการ • คุณสมบัติของผู้รับจ้างที่ผู้ว่าจ้างต้องการให้ทำงานตามขอบเขตดังกล่าว • สิ่งที่ผู้ว่าจ้างต้องการให้ดำเนินการ • มีกี่ขั้นตอนแต่ละขั้นตอนประกอบด้วยอะไรบ้าง • ปฎิบัติงานตามสัญญาจะได้อะไร • ผิดสัญญาจะถูกปรับอย่างไร • วิธีการดูแลงานของผู้ว่าจ้าง ว่าเขาจะดูแลงานคุณแบบไหน เขาจะมีที่ปรึกษาดูแลแทน

  3. ความสำคัญของ TOR • ประการแรก TORมีความสำคัญมากต่อคุณภาพของผลงานที่จะได้จากที่ปรึกษา TORจะต้องมีความชัดเจน และกำหนดประเด็นต่างๆ ที่ที่ปรึกษาจะต้องวิเคราะห์ไว้อย่างชัดเจน TORยิ่งมีความชัดเจนเพียงใด ยิ่งทำให้การคัดเลือกที่ปรึกษาง่ายขึ้น โปร่งใสมากขึ้น และการประเมินปริมาณแรงงานของนักวิชาการสาขาต่างๆ ที่ต้องใช้จะใกล้เคียงกับความจริงมากยิ่งขึ้น • ประการที่สอง TORเป็นเอกสารอ้างอิงที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาว่าจ้าง ดังนั้น TORจึงต้องมีความชัดเจนเพียงพอต่อการประเมินปริมาณและคุณภาพงานของที่ปรึกษา นอกเหนือจาก TOR ซึ่งกำหนดขอบเขตและรายละเอียดของภารกิจแล้ว ผู้ว่าจ้างจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกที่ปรึกษาไว้ด้วย โดยเสนอแยกต่างหากไว้ในเอกสารข้อมูลสำหรับที่ปรึกษา

  4. โครงสร้างของ TOR โดยทั่วไป เอกสาร TORจะประกอบด้วยส่วนหรือหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้ (1) บทนำ ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ (2) วัตถุประสงค์ของภารกิจ และผลงานที่ต้องการ (3) ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจของที่ปรึกษา (4) ขอบเขตการดำเนินงาน (5) ระยะเวลาการดำเนินงาน (6) บุคลากรที่ต้องการ (7) ระยะเวลาการส่งมอบผลงาน (8) การกำกับการทำงานของที่ปรึกษา (9) หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ว่าจ้าง

  5. 1. บทนำ บทนำจะให้ข้อมูลความเป็นมาของโครงการและภารกิจที่ต้องการว่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อให้ที่ปรึกษาเข้าใจถึงความจำเป็นหรือความสำคัญของภารกิจนี้ และความเชื่อมโยงของภารกิจนี้กับเรื่องอื่นๆ

  6. 2. วัตถุประสงค์ของการว่าจ้างและผลงานที่ต้องการ • วัตถุประสงค์ของภารกิจ คือ สิ่งที่ผู้ว่าจ้างต้องการจะบรรลุหลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้นลง TORตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์ของการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาปัญหาต่างๆ ในการปรับโครงสร้างของกรมการศึกษา • วัตถุประสงค์ในกรณีนี้น่าจะเป็นดังนี้ เพื่อจัดทำแผนปรับโครงสร้างของกรม โดยแผนดังกล่าวจะต้องมีเนื้อหาสาระหรือองค์ประกอบดังต่อไปนี้ (กำหนดให้ชัดเจนว่าต้องการแผนที่มีลักษณะอย่างไร) วัตถุประสงค์จะใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการจะได้จากที่ปรึกษา แต่สิ่งที่ต้องการจะได้ในกรณีนี้ นอกจากเอกสารรายงานฯ และแผนการปรับโครงสร้างของกรมแล้ว อาจรวมสิ่งอื่นๆ อีก เช่น การฝึกอบรม เอกสารอื่นๆ เป็นต้น

  7. 3. ข้อมูลเกี่ยวกับภารกิจของที่ปรึกษา ประมวลเสนอสาระของปัญหาหรือเรื่องที่ต้องการให้ที่ปรึกษาดำเนินการ บ่งชี้ประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ทั้งนี้ เพื่อสร้างพื้นฐานสำหรับการทำความเข้าใจในขอบเขตการดำเนินงานภายใต้ภารกิจของที่ปรึกษา ส่วนนี้ของ TORควรเสนอสรุปย่อผลการศึกษาวิเคราะห์เบื้องต้นเพื่อบ่งชี้ปัญหา รายละเอียดควรให้ไว้ในภาคผนวกหรือเอกสารแนบ

  8. 4. ขอบเขตของการดำเนินงาน • ควรกำหนดชัดเจนว่าการดำเนินงานของที่ปรึกษาต้องครอบคลุมประเด็นใดบ้าง และละเอียดเพียงใด ทั้งในด้านลึกและด้านกว้าง ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าประเด็นที่จะให้ที่ปรึกษาดำเนินงานมีความจำเป็นจริงๆ กับปัญหาหลักที่เป็นพื้นฐานในการว่าจ้างที่ปรึกษา ยิ่งมากประเด็นยิ่งเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น • ขอบเขตของการดำเนินงานจะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง มิใช่บอกว่าทำอย่างไร แต่งานบางอย่างอาจจำเป็นต้องบอกว่า ควรทำอย่างไร ทั้งนี้ เพื่อรักษามาตรฐานของข้อมูล อาทิเช่น กำหนดวิธีการสำรวจดิน วิธีการเก็บตัวอย่างน้ำ วิธีวิเคราะห์น้ำ เป็นต้น • ควรแบ่งการดำเนินงานเป็นงานต่างๆ ตามขั้นตอนของการดำเนินงาน เช่น การสำรวจข้อมูล พื้นฐาน การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ การจัดทำรายงานฉบับร่าง การจัดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นในการปรับแก้รายงานฉบับร่าง เป็นต้น

  9. 5. ระยะเวลาการดำเนินงาน • กำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน โดยแบ่งเป็นระยะตามผลงานในช่วงการดำเนินงาน เช่น รายงานเริ่มงาน (Inception Report)รายงานฉบับกลาง รายงานฉบับร่าง รายงานฉบับสุดท้าย เป็นต้น • ระยะเวลาการดำเนินงานที่กำหนดให้ที่ปรึกษาต้องมีความเป็นไปได้ (Realistic)สอดคล้องกับปริมาณงาน และข้อจำกัดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บข้อมูลที่ขึ้นกับฤดูกาล โดยทั่วไป ถ้าระยะเวลา การทำงานสั้นจะใช้คนมาก ถ้าระยะเวลาทำงานยาวใช้คนน้อย กล่าวคือ ปริมาณคน-เดือนที่ต้องใช้จะ ไม่เปลี่ยนแปลง

  10. 6. บุคลากรที่ต้องการ • ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าบุคลากรที่ต้องการสำหรับภารกิจนี้ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหรือ นักวิชาการด้านใดบ้าง แต่ละด้านจะใช้แรงงานเท่าใด ปริมาณแรงงานวัดเป็นคน-เดือน (Person-Months) • คนทั่วไปมักมีความสับสนในความหมายของคน-เดือน งานที่ถูกกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน โดยใช้ปริมาณแรงงาน 36 คน-เดือน หมายถึงว่า โดยเฉลี่ยงานนี้ใช้คนทำงานเต็มเวลา 6 คน คนละ 6 เดือน รวมเป็น 36 คน-เดือน อย่างไรก็ตาม งานนี้อาจใช้คน 12 คน แต่ละคนมีปริมาณแรงงานไม่เท่ากัน แต่เมื่อเอาเวลาทำงานของแต่ละคนมารวมกันจะได้เท่ากับ 36 • จะกำหนดสาขาวิชาหรือความเชี่ยวชาญที่ต้องการได้จากโครงร่างของปัญหาที่ต้องการให้มีการศึกษาวิเคราะห์ ส่วนข้อกำหนดในเรื่องประสบการณ์ของบุคลากรจะขึ้นกับระดับความยากง่ายของประเด็นปัญหาที่จะศึกษา ควรใช้คนให้เหมาะสมกับงาน • การประมาณปริมาณแรงงานที่ต้องใช้ขึ้นกับประสบการณ์ของผู้จัดทำ TORและขึ้นกับความคาดหวังถึงระดับความสามารถของที่ปรึกษา คนเก่งมากจะใช้เวลาทำงานน้อยกว่าคนเก่งน้อยกว่า ถึงแม้ค่าจ้าง ต่อเดือนของคนที่เก่งกว่าจะสูงกว่าของคนที่เก่งน้อยกว่า แต่วงเงินรวมของคนที่เก่งกว่าน่าจะต่ำกว่าของคนที่เก่งน้อยกว่า และได้ผลงานที่มีคุณภาพดีกว่า

  11. บุคลากรที่ต้องการ (ต่อ) • วิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้จัดทำ TORในการประมาณจำนวนคน-เดือนสำหรับที่ปรึกษา คือ การประมาณการว่า ถ้าผู้จัดทำ TORเป็นผู้ทำงานเองจะต้องใช้กี่คน-เดือน ถ้าผู้จัดทำ TORคิดว่าที่ปรึกษาเก่งกว่าผู้จัดทำ TORก็ควรกำหนดปริมาณคน-เดือนให้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ในการประมาณการปริมาณแรงงานควรใช้ตัวเลขพื้นฐานชั่วโมงทำงาน 176 ชั่วโมงต่อคน-เดือน • กำหนดคุณวุฒิและประสบการณ์ของที่ปรึกษาและความสามารถพิเศษอื่นๆ ที่ต้องการ เช่น ต้องมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ได้ การคิดและพิมพ์ได้ และความสามารถด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น • อย่างไรก็ตาม ปริมาณแรงงานที่เอกสาร TORกำหนดไว้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆ ตามการประเมินของผู้จัดทำ TORเท่านั้น เพื่อใช้ในการประมาณราคาค่าจ้าง ตัวเลขปริมาณแรงงานที่ที่ปรึกษาเสนอ อาจต่างจากตัวเลขของผู้จัดทำ TORได้ ในกรณีเช่นนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเข้าใจปัญหาที่ต้องศึกษาไม่เพียงพอ • TORที่ไม่มีตัวเลขปริมาณแรงงาน จะทำให้มีความยุ่งยากในการประเมินข้อเสนอด้านเทคนิคที่ที่ปรึกษาเสนอมา • ปริมาณแรงงานกับวงเงินค่าจ้างทั้งหมด จะชี้คร่าวๆ ถึงระดับความสามารถของที่ปรึกษา

  12. 7. ระยะเวลาการส่งมอบผลงานของที่ปรึกษา • ผลงานของที่ปรึกษา ได้แก่ รายงาน คู่มือ การฝึกอบรม การจัดสัมมนา เป็นต้น TOR จะต้องกำหนดอย่างชัดเจนว่าต้องการผลงานอะไรบ้าง ข้อกำหนดของผลงานเป็นอย่างไร (เช่น รายงานแต่ละฉบับจะต้องมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง) รูปร่างหน้าตาของผลงานควรเป็นอย่างไร (Format) กำหนดส่งมอบเมื่อไร จำนวนเท่าใด ควรกำหนด Softwareที่ที่ปรึกษาจะใช้และให้ที่ปรึกษาส่ง Disketteด้วย • โดยทั่วไป รายงานที่ต้องการจากที่ปรึกษา ได้แก่ • รายงานเริ่มงาน (Inception Report)หลังจากเริ่มงานแล้วประมาณ 1-2 เดือน วัตถุประสงค์เพื่อทบทวนปรับแก้แผนงานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้ศึกษาวิเคราะห์เบื้องต้นแล้ว • รายงานฉบับกลาง (Interim Report) ประมาณกึ่งกลางช่วงเวลาการดำเนินงาน ถ้าช่วงเวลาการดำเนินงานสั้น เช่น 4-6 เดือน อาจไม่จำเป็นต้องมีรายงานฉบับกลาง • รายงานฉบับสุดท้าย ฉบับร่าง (Draft Final Report) ประมาณ 1 เดือน ก่อนสิ้นสุด การดำเนินงาน • รายงานฉบับสุดท้าย ฉบับสมบูรณ์ (Final Report) ประมาณ 1 เดือน หลังจากที่ได้รับข้อคิดเห็นจากผู้ว่าจ้างแล้ว • รายงานการเสร็จสิ้นภารกิจ (Assignment or Project Completion Report) ในกรณีที่มีการ ว่าจ้างที่ปรึกษาให้ดำเนินภารกิจที่ไม่ใช่เป็นการศึกษาจัดทำแผน เช่น ว่าจ้างที่ปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำโครงการ ว่าจ้างที่ปรึกษาให้จัดการโครงการ ว่าจ้างที่ปรึกษาให้ควบคุมงานก่อสร้าง เป็นต้น • รายงานความก้าวหน้า จะขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความต้องการของผู้ว่าจ้าง โดยอาจจะมีเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาสก็ได้ รายงานนี้จะรายงานถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานของที่ปรึกษาเป็นระยะๆ

  13. 8. การกำกับการดำเนินงานของที่ปรึกษา • เอกสาร TORควรให้ข้อมูลแก่ที่ปรึกษาในเรื่องการจัดองค์กรของผู้ว่าจ้าง เพื่อการกำกับการดำเนินงานของที่ปรึกษา กลไกที่จะใช้ในการประสานงานกับที่ปรึกษา โดยทั่วไป ผู้ว่าจ้างจะมีเจ้าหน้าที่ร่วม (Counterpart Staff) เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้จากที่ปรึกษา (มักต้องเรียนรู้เอาเอง เพราะที่ปรึกษาจะให้ความสำคัญแก่การทำงานตามภารกิจของตนก่อน) ผู้ประสานงานโครงการหรือผู้จัดการโครงการ คณะกรรมการกำกับการดำเนินงานของที่ปรึกษา (คณะกรรมการกำกับโครงการ) • ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการกำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจการจ้าง ซึ่งทางปฏิบัติส่วนราชการมักจะแต่งตั้งกรรมการตรวจการจ้างเป็นคนละชุดกับคณะกรรมการคัดเลือกที่ปรึกษา จึงมีปัญหา คือ คณะกรรมการตรวจการจ้างต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษา รวมทั้งอาจไม่ทราบรายละเอียดผลการเจรจาที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้โดยเฉพาะการทำความเข้าใจระหว่างกัน ในขอบเขตการปฏิบัติงานและความลึกของข้อมูลที่ต้องการให้ศึกษาและวิเคราะห์ ดังนั้น คณะกรรมการทั้งสองชุดควรใช้บุคลากรหลักร่วมกัน

  14. 9. หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ว่าจ้าง • เอกสาร TORจะต้องกำหนดชัดเจนว่า ผู้ว่าจ้างจะให้อะไรหรือทำอะไรให้แก่ที่ปรึกษาได้บ้าง จะคิดค่าใช้จ่ายหรือไม่คิด ถ้าคิดจะคิดอย่างไร • รายการที่ควรพิจารณา ได้แก่ • สถานที่ทำงาน เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร โทรศัพท์ โทรสาร ยานพาหนะ วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ • ข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำงานของที่ปรึกษา ถ้าเป็นข้อมูลของหน่วยราชการต่างๆ ผู้ว่าจ้างควรรับหน้าที่ในการเก็บรวบรวมให้ที่ปรึกษาจะประหยัดเวลาและเงินค่าจ้างได้มาก • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น การจัดสัมมนา การพิมพ์เอกสารต่างๆ

  15. แนวทาง/ตัวอย่างการเขียน TOR ที่ถูกต้อง Source: กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

  16. รายละเอียดข้อกำหนดสำหรับการจัดซื้อ/จัดจ้าง ( TOR ) • เอกสารแสดงข้อมูล รายการ รายละเอียด ที่ประกาศ หรือแจ้งให้ผู้ขายทราบถึงความต้องการและเงื่อนไขของผู้ซื้อ • ประกาศแจ้งล่วงหน้า อย่างเปิดเผย • หากมีการเปลี่ยนแปลง ต้องแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดทราบ • สำหรับการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของภาครัฐ ต้องเป็นไปตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกาศแจ้งไว้ที่หน้าเว็บไซด์ของกระทรวง (ทั้งนี้เป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547) • การกำหนด TOR ที่แตกต่างต้องแจงเหตุผล เป็นครั้งๆไป

  17. TOR ที่ดีจะช่วยให้ท่านได้พัสดุ ตรงตามวัตถุประสงค์ การใช้งาน ประหยัด เกิดประโยชน์สูงสุด • TORที่ดี จะระบุความจำเป็นและคุณลักษณ์ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ ได้อย่างชัดเจน • TORที่ดี จะระบุข้อความที่ไม่กำกวม ตรวจสอบ วัด ได้ • TORที่ดี ไม่ระบุรายการที่เกินความจำเป็น • สเปกกลาง ของ ICT จะช่วยให้ท่านจัดซื้อคอมพิวเตอร์ที่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ประหยัด รวดเร็ว

  18. แนวทางในการระบุข้อกำหนดสำหรับการจัดซื้อ/จัดหา คอมพิวเตอร์ มี 3 ส่วน • มาตรฐาน คุณภาพ การรับประกัน • สเปก/ความสามารถ ที่จำเป็น ต้องการ • ซอฟต์แวร์ สิทธิการใช้ และลิขสิทธิ์

  19. ส่วนที่ 1 ระดับคุณภาพ มาตรฐาน/ การรับประกันและเงื่อนไข • ใช้มาตรฐานไทย/เครื่องหมายรับรองไทย เป็นหลัก • ได้รับเครื่องหมายรับรอง มอก.1561 และมอก.1956 หรือ • ได้รับเครื่องหมายรับรอง เนคเทค • การรับประกันขึ้นต่ำ 3 ปี / ประกันอายุการใช้งาน 5 ปี

  20. ส่วนที่ 2 สเปก คุณลักษณะ หรือ ขีดความสามารถที่ต้องการ • ระบุตามสเปก • ระบุตามความสามารถที่ต้องการ • ระบุผสมกัน • ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม โดย กท. กท. • ดูสเปกกลางได้ที่....................

  21. ส่วนที่ 3 ซอฟต์แวร์ และลิขสิทธิ์ • ระบุซอฟต์แวร์พื้นฐานสำหรับการทำงานที่ต้องการ • ระบุลิขสิทธิ์ สิทธิการใช้ จำนวนสิทธิ ระยะเวลาสนับสนุนการถ่ายโอนสิทธิให้ครบถ้วน • แยกราคา ออกจากตัวฮาร์ดแวร์

  22. เลือกสเปกแตกต่างได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง • เลือกสเปกดีกว่า สเปกกลางได้ ตราบที่งบประมาณยังไม่เกินกรอบราคาที่ตั้งไว้ • หากงบประมาณเกินรอบ ต้องส่งเรื่องแจ้งให้ ทราบล่วงหน้า เพื่อพิจารณาเป็นรายๆ • พึงระวัง การเลือกอุปกรณ์ขนาดใหญ่ / บริโภคทรัพยากรเยอะจะเป็นภาระในการใช้งาน

  23. คอมพิวเตอร์ที่ดี ควรมีคุณสมบัติพื้นฐานอย่างไร • ปลอดภัยไม่เป็นอันตราย (มอก.1561) • ไม่มีสัญญาณรบกวนมากเกินไป (มอก. 1956) • ทนทาน มีความน่าเชื่อถือสูง อายุการใช้งานยาวนาน • มีประสิทธิภาพ และความสามารถเหมาะสม ตามการใช้งาน • ประหยัดพลังงาน/มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำ • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดีกับผู้ใช้ (สุขภาพ) • ราคาเหมาะสม

  24. วิธี ระบุความสามารถของคอมพิวเตอร์ • ระบุผ่านสเปก CPU Clock Speed FSB Speed L1/L2 cache Size Memory Type / Memory Speed Memory Capacity HDD Type / Capacity Lan Speed VGA/GPU Type VGA Memory Capacity

  25. การเลือกสเปก เผื่อ....ความสิ้นเปลืองที่ควรระวัง • การเลือกสเปกเผื่อ หมายถึง การเลือกสเปกที่มีความสามารถมากกว่าที่ต้องการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งเกิดได้จากหลายเหตุผล แต่มักจะเป็นการเผื่อไว้สำหรับการขยายระบบเพิ่มเติมในอนาคต • ต้องมีช่องเสียบแบบ PCI ไม่น้อยกว่า 4 ช่อง (ปัจจุบันใช้ 1 ช่อง) • หน่วยจ่ายกำลังไฟฟ้า (PSU) จ่ายไฟได้ไม่ต่ำกว่า 485 วัตต์ (ปัจจุบันใช้ 225 วัตต์) • หน่วยความจำหลักขยายได้ไม่น้อยกว่า 16 จิกะไบต์ (ปัจจุบันใช้ 1 จิกะไบต์) • ข้อควรระวัง • ราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสเปกเผื่อ (แต่ยังไม่ได้ใช้งาน) – ของฟรี ไม่มีในโลก • ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าซ่อมบำรุง • ความคุ้มค่าในการขยายระบบ ในอนาคต • อาจเป็นการ ล็อก สเปก และทำให้ถูกร้องเรียนได้

  26. มอก.1561-2548

  27. มอก.1561-2548 • ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 3468 (พ.ศ.2549) • ประกาศ ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ออกประกาศกำหนด มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม บริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศเฉพาะด้านความปลอดภัย : ข้อกำหนดทั่วไป มาตรฐานเลขที่ มอก.1561-2548 • ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับที่ประกาศและงานทั่วไป เล่ม 123 ตอนที่ 600 วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2549 • มีผลเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

  28. มอก.1561 -2548 • อ้างอิง IEC 60950 • Information technology • Equipment-Safety-Part1: • General Requirement

  29. มอก.1561-2548 ขอบข่าย • บริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ • บริภัณฑ์ไฟฟ้าทางธุรกิจ • บริภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องที่ใช้กำลังไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าประธาน หรือใช้กำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่มีแรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 600 โวลต์

  30. มอก.1561-2548 • เพื่อให้ผู้ออกแบบบริภัณฑ์เข้าใจพื้นฐานของข้อกำหนดตามมาตรฐาน และสามารถออกแบบบริภัณฑ์ให้มีระดับของความปลอดภัยไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ในหลักการของความปลอดภัย

  31. มอก.1561-2548 ลำดับความสำคัญในการพิจารณา • มาตรฐานที่จะกำจัด ลด หรือป้องกันอันตราย • มาตรการที่จะระบุการใช้วิธีการป้องกันที่ไม่ขึ้นกับบริภัณฑ์ • มาตรการที่จะระบุในการทำเครื่องหมายและข้อแนะนำเกี่ยวกับความเลี่ยงที่มีอยู่

  32. มอก.1561-2548 อันตราย • ช็อกไฟฟ้า • อันตรายที่สัมพันธ์กับพลังงาน • ไฟ • อันตรายที่สัมพันธ์กับความร้อน • อันตรายทางกล • การแผ่รังสี • อันตรายทางเคมี

  33. มอก.1561-2548 การเลือกวัสดุและส่วนประกอบ • การเลือกและจัดวางวัสดุและส่วนประกอบในการสร้างบริภัณฑ์ • การเลือกวัสดุและส่วนประกอบที่จะไม่ช่วยเสริมในการเกิอันตรายจากไฟที่รุนแรง • การเลือกวัสดุและส่วนประกอบที่คงไว้สำหรับค่าพิกัดภายใต้ภาวะปกติและภาวะผิดพร่อง

  34. มอก. 1956 - 2548

  35. มอก. 1956 - 2548 • ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 3431 (พ.ศ.2548) ประกาศ ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ออกประกาศกำหนด มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ:ขีดกำจัดสัญญาณรบกวนวิทยุมาตรฐานเลขที่ มอก. 196-2548 • ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไปเล่มที่ 123 ตอนที่ 60 วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2549 • มีผลเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

  36. มอก. 1956 - 2548 • CISPR 22 Information Technology equipment – Radio disturbance characteristics Limits and Methods of measurement • CISPR 22 มอก.1441-2545

  37. มอก. 1956 - 2548 จุดประสงค์: เพื่อกำหนดระดับสัญญาณรบกวนวิทยุของบริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศให้เป็นแบบเดียวกัน กำหนดขีดจำกัดของสัญญาณรบกวน อธิบายวิธีการวัดและกำหนดภาวการณ์ทำงานและการตีความผลการทดลอบให้เป็นมาตรฐานในแนวทางเดียวกัน

  38. มอก. 1956 - 2548 ขอบข่าย มอก. 1956-2548 ครอบคลุมถึงขีดจำกัดสัญญาณรบกวนวิทยุของบริภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ วิธีดำเนินการต่างๆ กำหนดไว้สำหรับการวัดระดับสัญญาณที่เกิดจากบริภัณฑ์ฯและขีดจำกัดที่ระบุไว้ใช้สำหรับพิสัยความถี่ 9 กิโลเฮิรตซ์ ถึง 400 กิโลเฮิรตซ์ สำหรับบริภัณฑ์ฯประเภท A และประเภท B

  39. มอก. 1956 - 2548 ประเภท ITE ITE ประเภท A หมายถึง กลุ่มที่ ITE อื่นๆ ทั้งหมดซึ่งเป็นไปตามขีดกำจัดสำหรับ ITE ประเภท A แต่ไม่เป็นไปตามขีดจำกัดสำหรับ ITE ประเภท B ITE ประเภท B หมายถึง บริภัณฑ์ซึ่งเป็นไปตามขีดกำจัดสัญญาณรบกวนสำหรับ ITE ประเภท B และบริภัณฑ์ที่มีจุดประสงค์หลักสำหรับใช้งานในสิ่งแวดล้อมพักอาศัย รัศมี 10 เมตร

  40. มอก. 1956 - 2548 มอก. 1956-2548 กำหนดขีดกำจัดสัญญาณรบกวน ดังนี้ 1. ขีดจำกัดสำหรับสัญญาณรบกวนที่นำตามสาย • ช่องทางแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าประธาน • ช่องทางโทรคมนาคม 2. ขีดจำกัดสำหรับสัญญาณรบกวนที่แผ่กระจายเป็นคลื่น

  41. ระเบียบพัสดุ ที่ควรทราบ • ข้อ 16(1)ห้ามกำหนดรายละเอียด หรือคุณลักษณะเฉพาะ ซึ่งอาจมีผลกีดกันไม่ให้ผู้ผลิตหรือผู้ขายพัสดุที่ผลิตในประเทศไทย หรือเป็นกิจการของคนไทยสามารถเข้าแข่งขันในการเสนอราคากับทางราชการ

  42. พรบ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 11จนท.ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด ..................โดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข..............อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือช่วยเหลือ.......หรือเพื่อกีดกัน ผู้เสนอราคารายใด มิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 – 400,000

  43. มติ ครม. เมื่อ 21มีนาคม 2520 “ ห้ามมิให้กำหนดลักษณะเฉพาะของสิ่งของ ที่จะซื้อให้ใกล้เคียงกับยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง และห้ามระบุยี่ห้อของที่ต้องการจะซื้อทุกชนิด เว้นแต่มีข้อยกเว้นไว้ เช่น ยารักษาโรค เครื่องอะไหล่ เป็นต้น ซึ่งกำหนดให้ระบุยี่ห้อได้ “

More Related