1 / 22

ประวัติการจัดสวน (History of Landscaping)

ประวัติการจัดสวน (History of Landscaping). อียิปต์. มีตั้งแต่ก่อน 2200 BC เป็นชาติแรกที่พัฒนาทางด้านการจัดสวน สวนมีลักษณะปิด มีรั้วล้อมรอบ ปลูกต้นปาล์มให้ร่มเงา และปลูกไม้เลื้อยคลุมแผงไม้ เช่น องุ่น ไอวี่ สวนอียิปต์มีเฉพาะในพระราชวังของกษัตริย์ บ้านนายทหาร และสถานที่ทางศาสนาเท่านั้น.

trynt
Download Presentation

ประวัติการจัดสวน (History of Landscaping)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ประวัติการจัดสวน(History of Landscaping)

  2. อียิปต์ • มีตั้งแต่ก่อน2200 BCเป็นชาติแรกที่พัฒนาทางด้านการจัดสวน • สวนมีลักษณะปิด มีรั้วล้อมรอบ ปลูกต้นปาล์มให้ร่มเงา และปลูกไม้เลื้อยคลุมแผงไม้ เช่น องุ่น ไอวี่ • สวนอียิปต์มีเฉพาะในพระราชวังของกษัตริย์ บ้านนายทหาร และสถานที่ทางศาสนาเท่านั้น

  3. เปอร์เซีย • พัฒนามาจากสวนอียิปต์ • เลียนแบบรูปร่างของพวกเพชร-พลอย เป็นรูปแบบเรขาคณิต เช่นมีคลองอยู่ตรงกลางเป็นรูปกากบาท และมีต้นไม้ล้อมรอบ • สวนที่มีชื่อเสียงและเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ The Hanging Garden of Babylon

  4. กรีก • ส่วนใหญ่เป็นสวนผลไม้ และสวนครัว ได้รับอิทธิพลมาจากสวนอียิปต์และสวนเปอร์เชีย • นิยมทำเป็นสวนเล็ก ๆ หลังบ้าน

  5. โรมัน • การจัดสวนจะอยู่ที่จุดศูนย์กลางของบ้านโดยมีเสาซึ่งยึดชายคาบ้านล้อมรอบ • สวนส่วนมากจะเป็นบ่อน้ำหรือสระน้ำ • Green House ได้สร้างขึ้นในสมัยนี้ ทำด้วยกระจกโปร่งแสง เพื่อปลูกไม้ที่นำมากจากประเทศทางตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ช่วยให้มีดอกนอกฤดู และเก็บรักษาไม้ที่บอบบางดูแลรักษายาก • มีการตกแต่งต้นไม้ (plant sculpture) เป็นรูปปิรามิด สี่เหลี่ยม รูปสัตว์ต่าง ๆ

  6. สเปน • ได้รับอิทธิพลการจัดสวนของชาวโรมันและชาวมัวร์ • เป็นสวนแบบผสม มีสวนทั้งอยู่ภายในอาคารและนอกอาคารผสมกัน มีน้ำล้อมรอบเพื่อให้ความร่มเย็น • ใช้สวนเป็นสิ่งเชื่อมระหว่างจุต่าง ๆ ของตัวอาคาร • แปลนสวนค่อนข้างจะยุ่งยากมาก เน้นสถาปัตยกรรมมากกว่าการออกแบบตกแต่งสวน มีศาลานั่งพักในสวนเพื่อความสะดวกสบายและสวยงาม

  7. อิตาลี • ส่วนใหญ่จัดอยู่บนเนินเขา ที่ลาดชัน และอยู่ในลักษณะที่คนผ่านไปมาจะมองเห็นได้ง่าย • แบ่งเป็น 3-4 ระดับ • ชั้นล่างสุดของพื้นที่เป็นทางเข้าสู่ตัวบ้าน จะจัดสวนดอกไม้โชว์แบบ Formal • ชั้นสองเป็นที่ตั้งของตัวอาคารแยกจากตัวบ้าน เพื่อใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ • ชั้นที่สามปลูกเป็นป่าหนาแน่นเพื่อเป็นการกั้นตัวบ้านออกจากสิ่งอื่น ๆ • ชั้นสุดท้ายเป็นที่ตั้งของตัวบ้านหรือคฤหาสน์

  8. นิยมให้มีซุ้มไม้เลื้อย หรือเรือนกล้วยไม้ที่มุข 3 ด้าน • ใช้ต้นไม้ที่ตัดเป็นรูปร่างต่าง ๆ (topiary) และตัดต้นไม้ให้เป็นลักษณะแบนแทนผนังหรือรั้ว (espalier) • นิยมประดับสวนด้วยรูปปั้น และน้ำ ทำให้สวนมีลักษณะคล้ายพิพิธภัณฑ์

  9. ฝรั่งเศส • นิยมตัดแต่งต้นไม้เป็นรูปทรงต่าง ๆ (topiary) มากที่สุดเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ • นิยมปลูกเรือนพักผ่อน ศาลาในสวน และมีแปลงดอกไม้ประกอบทางเท้า • เป็นสวนที่มีระเบียบแบแผน เช่นแบ่งสวนออกเป็นส่วนต่าง ๆ มีสวนผัก ผลไม้ น้ำตก และน้ำพุ และที่พักผ่อนหย่อนใจ • Andre ’Le Notre(1613-1700) ออกแบบ Vaux Le Vicomte และ Versailles สวนในพระราชวังแวร์ซายส์ สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 • อิทธิพลของการออกแบบของ Andre มีผลในอังกฤษ ฮอลแลนด์ ออสเตรีย เยอรมัน รัสเซีย

  10. อังกฤษ • ได้รับอิทธิพลจากสวนฝรั่งเศสและอิตาลี นิยมจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า • การจัดสวนที่มีลักษณะหรูหรา ฟุ่มเฟือยและใช้เนื้อที่ในการจัดสวนมาก • ไม้ดอกตกแต่งเป็นลดลายเรขาคณิตล้อมรอบด้วยต้นไม้ หรือไม้พุ่มเตี้ย มีซุ้มไม้เลื้อย รูปปั้น น้ำ และอื่น ๆ ประกอบกันเป็นสวนแบบ formal • ในศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการจัดสวนแบบธรรมชาติ (Naturalistic) เน้นให้ต้นไม้และสิ่งต่าง ๆ เติบโตสวนงามตามธรรมชาติ

  11. อเมริกา • สวนเป็นแบบ formal เลียนแบบสวนยุโรป • เริ่มมีการจัดตั้ง Botanical garden โดยรวบรวมพรรณไม้จากเอเชียและที่อื่น ๆ • ทางเหนือและใต้ของอเมริกาสวนมีลักษณะคล้ายคลึงกับสวนอังกฤษ เช่น Williamsburg • ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้และมหาสมุทร Pacific ได้รับอิทธิพลจากสเปน • ปัจจุบันสวนไม่มีข้อจำกัดในเรื่องรูปทรงเลขาคณิตตามแบบ formal และสามารถจัดสวนได้ทุกส่วนของบ้าน

  12. สแกนดิเนเวีย • บ้านส่วนใหญ่จะอยู่ริมทะเลสาบและล้อมรอบด้วยป่าไม้ Birch และสน ทำให้มีการปลูกไม้ดอกสีสันสดใสรอบ ๆ บ้าน แต่ไม่ได้มีแบบแผนในการจัดสวน ปลูกตามใจชอบ

  13. จีน • สวนมีขนาดเล็ก และมีเนื้อที่จำกัด เนื่องจากมีประชากรมาก • เน้นเรื่องการปลูกพืชที่สามารถทำเป็นยารักษาโรค และปลูกพืชผักเพื่อเป็นอาหาร • ในสมัยราชวงศ์ถังและหมิง ศิลปะการจัดสวนเจริญสูงสุด • ศาสนาพุทธมีอิทธิพลต่อการจัดสวนแบบจีน นั่นคือการเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ • มีการย่อส่วนสวนจริงๆ ลงในเนื้อที่จำกัด มีต้นไม้ หิน และสิ่งอื่น ๆ ที่มีสัญญลักษณ์และความหมาย

  14. จีน • มีการจัดสวนประกอบหลุมฝังศพและสวนภายในวัด • สวนจีนจัดเพื่อมองดูและชื่นชมเท่านั้น ไม่ได้เพื่อเดินเล่นหรือนั่งเล่น

  15. ญี่ปุ่น • ได้รับอิทธิพลจากจีน • มีการใช้อุปกรณ์ต่างๆแสดงสัญลักษณ์และการแสดงออกทางปรัชญา • ต้นไม้จะเลือกที่มีความหมายของความสงบสดชื่น อายุยืนนาน • นิยมใช้หินในการจัดสวน เพราะหินมีลักษณะที่งดงามและมีความหมายในตัวของมันเอง เช่น เป็นตัวแทนของภูเขา เกาะแก่ง • สวนญี่ปุ่นมีผลและอิทธิพลต่อการจัดสวนในประเทศต่าง ๆ มาก

  16. ข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ

  17. ปัญหาของการจัดสวน • พื้นที่ (Land) • โครงสร้างและตัวอาคาร (Structure and Building) • คน (People)

  18. 1. พื้นที่ • ภูมิอากาศ • อุณหภูมิ ความร้อน หนาว แห้ง ชื้น จำนวนฝนที่ตก แสงแดด และทิศทางลม • ลักษณะพื้นที่ • ความลาดเอียงของพื้นที่สูงต่ำ แบ่งความลาดเอียงเป็น 3 ชนิด 1. ที่ราบ มีความลาดเอียงไม่เกิน 5% เหมาะเป็นที่ตั้งของบ้าน หรือประโยชน์ใช้สอยนอกบ้าน แต่ปัญหาเรื่องการระบายน้ำ ดินในพื้นที่ราบจะมีความอุดมสมบูรณ์สูง

  19. 2. ที่ลาดเอียง มีความลาดเอียง 10-12% มีการระบายน้ำดี แต่ต้องมีการปรับระดับดินทำให้ค่าแรงงานแพง 3. ที่ลาดชัน มีความลาดเอียงมากกว่า 12% มีค่าใช้จ่ายในการปรับระดับดินสูง ไม่สะดวกต่อการใช้ประโยชน์ แต่พื้นที่ลาดชันจะทำให้ได้มุมมองและวิวที่งดงามและน่าสนใจมากที่สุด • พรรณไม้ • พรรณไม้เดิม เป็นเดิมก่อนที่คนจะเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณนั้น • การปลูกพืชเพื่อการเกษตร มีการปลูกพืชผัก ผลไม้ ทำให้เกิด landscape แบบชนบท • การปลูกไม้ประดับ ปลูกเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น เป็นแนวรั้ว กันลม

  20. ดิน • ลักษณะต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่แต่ละแห่ง

  21. 2. โครงสร้างและตัวอาคาร • ควรทราบวัสดุที่ใช้และรูปร่างของตัวอาคารเพื่อหาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบ้านและสวน • ควรทราบถึงโครงสร้างต่าง ๆ ภายในบริเวณบ้านที่ต้องเกี่ยวข้องกับการจัดสวน เช่น ท่อน้ำ ท่อไฟ ท่อสายโทรศัพท์ ทางระบายน้ำ ตำแหน่งของก๊อกน้ำ สวิทช์ไฟ • ควรหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของบ้านและสวน ความสัมพันธ์ของบ้านต่อสภาพแวดล้อม เช่น มีตลาด สถานที่พักผ่อน และสวนสาธารณะอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน

  22. 3. คน • ต้องทราบความต้องการของครอบครัวที่เป็นเจ้าของสถานที่นั้น ๆ • อายุและเพศทำให้ลักษณะการออกแบบแตกต่างกันออกไป • ความต้องการของการจัดสวนจะเปลี่ยนไปทุก 6 หรือ 7 ปี ถ้าครอบครัวนั้นมีเด็ก

More Related