220 likes | 387 Views
ประวัติการจัดสวน (History of Landscaping). อียิปต์. มีตั้งแต่ก่อน 2200 BC เป็นชาติแรกที่พัฒนาทางด้านการจัดสวน สวนมีลักษณะปิด มีรั้วล้อมรอบ ปลูกต้นปาล์มให้ร่มเงา และปลูกไม้เลื้อยคลุมแผงไม้ เช่น องุ่น ไอวี่ สวนอียิปต์มีเฉพาะในพระราชวังของกษัตริย์ บ้านนายทหาร และสถานที่ทางศาสนาเท่านั้น.
E N D
ประวัติการจัดสวน(History of Landscaping)
อียิปต์ • มีตั้งแต่ก่อน2200 BCเป็นชาติแรกที่พัฒนาทางด้านการจัดสวน • สวนมีลักษณะปิด มีรั้วล้อมรอบ ปลูกต้นปาล์มให้ร่มเงา และปลูกไม้เลื้อยคลุมแผงไม้ เช่น องุ่น ไอวี่ • สวนอียิปต์มีเฉพาะในพระราชวังของกษัตริย์ บ้านนายทหาร และสถานที่ทางศาสนาเท่านั้น
เปอร์เซีย • พัฒนามาจากสวนอียิปต์ • เลียนแบบรูปร่างของพวกเพชร-พลอย เป็นรูปแบบเรขาคณิต เช่นมีคลองอยู่ตรงกลางเป็นรูปกากบาท และมีต้นไม้ล้อมรอบ • สวนที่มีชื่อเสียงและเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ The Hanging Garden of Babylon
กรีก • ส่วนใหญ่เป็นสวนผลไม้ และสวนครัว ได้รับอิทธิพลมาจากสวนอียิปต์และสวนเปอร์เชีย • นิยมทำเป็นสวนเล็ก ๆ หลังบ้าน
โรมัน • การจัดสวนจะอยู่ที่จุดศูนย์กลางของบ้านโดยมีเสาซึ่งยึดชายคาบ้านล้อมรอบ • สวนส่วนมากจะเป็นบ่อน้ำหรือสระน้ำ • Green House ได้สร้างขึ้นในสมัยนี้ ทำด้วยกระจกโปร่งแสง เพื่อปลูกไม้ที่นำมากจากประเทศทางตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ ช่วยให้มีดอกนอกฤดู และเก็บรักษาไม้ที่บอบบางดูแลรักษายาก • มีการตกแต่งต้นไม้ (plant sculpture) เป็นรูปปิรามิด สี่เหลี่ยม รูปสัตว์ต่าง ๆ
สเปน • ได้รับอิทธิพลการจัดสวนของชาวโรมันและชาวมัวร์ • เป็นสวนแบบผสม มีสวนทั้งอยู่ภายในอาคารและนอกอาคารผสมกัน มีน้ำล้อมรอบเพื่อให้ความร่มเย็น • ใช้สวนเป็นสิ่งเชื่อมระหว่างจุต่าง ๆ ของตัวอาคาร • แปลนสวนค่อนข้างจะยุ่งยากมาก เน้นสถาปัตยกรรมมากกว่าการออกแบบตกแต่งสวน มีศาลานั่งพักในสวนเพื่อความสะดวกสบายและสวยงาม
อิตาลี • ส่วนใหญ่จัดอยู่บนเนินเขา ที่ลาดชัน และอยู่ในลักษณะที่คนผ่านไปมาจะมองเห็นได้ง่าย • แบ่งเป็น 3-4 ระดับ • ชั้นล่างสุดของพื้นที่เป็นทางเข้าสู่ตัวบ้าน จะจัดสวนดอกไม้โชว์แบบ Formal • ชั้นสองเป็นที่ตั้งของตัวอาคารแยกจากตัวบ้าน เพื่อใช้เป็นที่พบปะสังสรรค์ • ชั้นที่สามปลูกเป็นป่าหนาแน่นเพื่อเป็นการกั้นตัวบ้านออกจากสิ่งอื่น ๆ • ชั้นสุดท้ายเป็นที่ตั้งของตัวบ้านหรือคฤหาสน์
นิยมให้มีซุ้มไม้เลื้อย หรือเรือนกล้วยไม้ที่มุข 3 ด้าน • ใช้ต้นไม้ที่ตัดเป็นรูปร่างต่าง ๆ (topiary) และตัดต้นไม้ให้เป็นลักษณะแบนแทนผนังหรือรั้ว (espalier) • นิยมประดับสวนด้วยรูปปั้น และน้ำ ทำให้สวนมีลักษณะคล้ายพิพิธภัณฑ์
ฝรั่งเศส • นิยมตัดแต่งต้นไม้เป็นรูปทรงต่าง ๆ (topiary) มากที่สุดเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ • นิยมปลูกเรือนพักผ่อน ศาลาในสวน และมีแปลงดอกไม้ประกอบทางเท้า • เป็นสวนที่มีระเบียบแบแผน เช่นแบ่งสวนออกเป็นส่วนต่าง ๆ มีสวนผัก ผลไม้ น้ำตก และน้ำพุ และที่พักผ่อนหย่อนใจ • Andre ’Le Notre(1613-1700) ออกแบบ Vaux Le Vicomte และ Versailles สวนในพระราชวังแวร์ซายส์ สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 • อิทธิพลของการออกแบบของ Andre มีผลในอังกฤษ ฮอลแลนด์ ออสเตรีย เยอรมัน รัสเซีย
อังกฤษ • ได้รับอิทธิพลจากสวนฝรั่งเศสและอิตาลี นิยมจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า • การจัดสวนที่มีลักษณะหรูหรา ฟุ่มเฟือยและใช้เนื้อที่ในการจัดสวนมาก • ไม้ดอกตกแต่งเป็นลดลายเรขาคณิตล้อมรอบด้วยต้นไม้ หรือไม้พุ่มเตี้ย มีซุ้มไม้เลื้อย รูปปั้น น้ำ และอื่น ๆ ประกอบกันเป็นสวนแบบ formal • ในศตวรรษที่ 18 เริ่มมีการจัดสวนแบบธรรมชาติ (Naturalistic) เน้นให้ต้นไม้และสิ่งต่าง ๆ เติบโตสวนงามตามธรรมชาติ
อเมริกา • สวนเป็นแบบ formal เลียนแบบสวนยุโรป • เริ่มมีการจัดตั้ง Botanical garden โดยรวบรวมพรรณไม้จากเอเชียและที่อื่น ๆ • ทางเหนือและใต้ของอเมริกาสวนมีลักษณะคล้ายคลึงกับสวนอังกฤษ เช่น Williamsburg • ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้และมหาสมุทร Pacific ได้รับอิทธิพลจากสเปน • ปัจจุบันสวนไม่มีข้อจำกัดในเรื่องรูปทรงเลขาคณิตตามแบบ formal และสามารถจัดสวนได้ทุกส่วนของบ้าน
สแกนดิเนเวีย • บ้านส่วนใหญ่จะอยู่ริมทะเลสาบและล้อมรอบด้วยป่าไม้ Birch และสน ทำให้มีการปลูกไม้ดอกสีสันสดใสรอบ ๆ บ้าน แต่ไม่ได้มีแบบแผนในการจัดสวน ปลูกตามใจชอบ
จีน • สวนมีขนาดเล็ก และมีเนื้อที่จำกัด เนื่องจากมีประชากรมาก • เน้นเรื่องการปลูกพืชที่สามารถทำเป็นยารักษาโรค และปลูกพืชผักเพื่อเป็นอาหาร • ในสมัยราชวงศ์ถังและหมิง ศิลปะการจัดสวนเจริญสูงสุด • ศาสนาพุทธมีอิทธิพลต่อการจัดสวนแบบจีน นั่นคือการเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ • มีการย่อส่วนสวนจริงๆ ลงในเนื้อที่จำกัด มีต้นไม้ หิน และสิ่งอื่น ๆ ที่มีสัญญลักษณ์และความหมาย
จีน • มีการจัดสวนประกอบหลุมฝังศพและสวนภายในวัด • สวนจีนจัดเพื่อมองดูและชื่นชมเท่านั้น ไม่ได้เพื่อเดินเล่นหรือนั่งเล่น
ญี่ปุ่น • ได้รับอิทธิพลจากจีน • มีการใช้อุปกรณ์ต่างๆแสดงสัญลักษณ์และการแสดงออกทางปรัชญา • ต้นไม้จะเลือกที่มีความหมายของความสงบสดชื่น อายุยืนนาน • นิยมใช้หินในการจัดสวน เพราะหินมีลักษณะที่งดงามและมีความหมายในตัวของมันเอง เช่น เป็นตัวแทนของภูเขา เกาะแก่ง • สวนญี่ปุ่นมีผลและอิทธิพลต่อการจัดสวนในประเทศต่าง ๆ มาก
ปัญหาของการจัดสวน • พื้นที่ (Land) • โครงสร้างและตัวอาคาร (Structure and Building) • คน (People)
1. พื้นที่ • ภูมิอากาศ • อุณหภูมิ ความร้อน หนาว แห้ง ชื้น จำนวนฝนที่ตก แสงแดด และทิศทางลม • ลักษณะพื้นที่ • ความลาดเอียงของพื้นที่สูงต่ำ แบ่งความลาดเอียงเป็น 3 ชนิด 1. ที่ราบ มีความลาดเอียงไม่เกิน 5% เหมาะเป็นที่ตั้งของบ้าน หรือประโยชน์ใช้สอยนอกบ้าน แต่ปัญหาเรื่องการระบายน้ำ ดินในพื้นที่ราบจะมีความอุดมสมบูรณ์สูง
2. ที่ลาดเอียง มีความลาดเอียง 10-12% มีการระบายน้ำดี แต่ต้องมีการปรับระดับดินทำให้ค่าแรงงานแพง 3. ที่ลาดชัน มีความลาดเอียงมากกว่า 12% มีค่าใช้จ่ายในการปรับระดับดินสูง ไม่สะดวกต่อการใช้ประโยชน์ แต่พื้นที่ลาดชันจะทำให้ได้มุมมองและวิวที่งดงามและน่าสนใจมากที่สุด • พรรณไม้ • พรรณไม้เดิม เป็นเดิมก่อนที่คนจะเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณนั้น • การปลูกพืชเพื่อการเกษตร มีการปลูกพืชผัก ผลไม้ ทำให้เกิด landscape แบบชนบท • การปลูกไม้ประดับ ปลูกเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น เป็นแนวรั้ว กันลม
ดิน • ลักษณะต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่แต่ละแห่ง
2. โครงสร้างและตัวอาคาร • ควรทราบวัสดุที่ใช้และรูปร่างของตัวอาคารเพื่อหาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบ้านและสวน • ควรทราบถึงโครงสร้างต่าง ๆ ภายในบริเวณบ้านที่ต้องเกี่ยวข้องกับการจัดสวน เช่น ท่อน้ำ ท่อไฟ ท่อสายโทรศัพท์ ทางระบายน้ำ ตำแหน่งของก๊อกน้ำ สวิทช์ไฟ • ควรหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของบ้านและสวน ความสัมพันธ์ของบ้านต่อสภาพแวดล้อม เช่น มีตลาด สถานที่พักผ่อน และสวนสาธารณะอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน
3. คน • ต้องทราบความต้องการของครอบครัวที่เป็นเจ้าของสถานที่นั้น ๆ • อายุและเพศทำให้ลักษณะการออกแบบแตกต่างกันออกไป • ความต้องการของการจัดสวนจะเปลี่ยนไปทุก 6 หรือ 7 ปี ถ้าครอบครัวนั้นมีเด็ก